วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

รอเสียงรถด่วนขบวนสุดท้าย

ซาล่า นี่เรามาไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายจริงๆเหรอพรล้า
พรล่า อืม ทำไงดี แล้วเราต้องค้างที่สถานีนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่
ซาล่า ไม่รู้สิ ทำไมมันแย่แบบนี้
พรล่า กลัวจัง หนาวด้วย ไม่มีใครอยู่เลย กลับมาเถอะรถไฟ กลับมา สายไหนก็ได้ขอไปด้วยคน
ซาล่า สายไหนก็ได้เหรอ ถ้ามันไปที่ที่เธอไม่ชอบหล่ะ
พรล่า เราอยู่ไม่ได้แล้วล่ะ เรากลัวเหงา ขอไปที่ไหนสักแห่งเถอะที่ไม่ใช่ที่นี่ เธอก็ควรไปด้วยนะ
ซาล่า ไม่รู้สิ เราอยากไปที่ที่เราอยากไป นานแค่ไหน เราก็จะรอ

‘เสียงรถด่วนขบวนสุดท้าย ได้ฟังแล้วใจหาย หัวใจน้องนี้แทบขาด….’
เวลาเข้าตาจน คนเรามีทางเลือกสองทาง คือ ยืนหยัดรอสิ่งที่ต้องการ หรือ ไขว่คว้าอะไรก็ได้ไว้ก่อน คุณเป็นคนแบบไหนคะ

ยามไม่มีแฟนหรือเพิ่งเลิกกับแฟนมาหมาดๆ ความเหงาถือเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดและเคยคร่าชีวิตคนมาแล้วนับไม่ถ้วน ความเข้มแข็งเป็นวัคซีนที่ช่วยต่อต้านความเหงาไว้ได้ และความหวังเป็นเหมือนไวตามินที่ช่วยให้เราฟื้นพลังมาสู้กับความเหงาได้เร็ววันขึ้น พูดถึงเรื่องความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายนี่ ใครไม่เคยสัมผัสก็จะไม่เข้าใจ บางทีมีคนอยู่ห้อมล้อมมากมาย แต่เรากลับเกิดอาการเหงาขึ้นมาจับใจอย่างบอกไม่ถูกและไม่รู้สาเหตุ ด้วยเหตุทีความเหงามันน่ากลัวเช่นนี้ หลายคนจึงรีบมีแฟนแต่งงานและมีลูกเพื่อเป็นปราการป้องกันความเหงาอย่างถาวร แต่ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเหมือนกันหมดนะคะ จริงไหม บางคนอย่างดิฉัน ก็ยังไม่ได้แต่งงาน และอยู่ลำพังมาสามสิบปีแล้ว เพื่อนๆพี่ๆบางคน เผชิญความเหงาอย่างกล้าหาญมานานกว่าดิฉันมากนัก พวกเขาพวกเธอก็ยังอยู่กันมาได้อย่างมีความสุข รถด่วนขบวนสุดท้ายจากไปแล้ว ทิ้งเขาและเธอไว้ที่ชานชลา แต่บางครั้งแม้จะวิ่งตามได้ทัน แต่บางคนก็เลือกที่จะไม่ตาม ไม่ฝืน เพราะไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองฝันไว้ คนแบบนี้ ไม่น่าชื่นชมหรอกหรือ

นิมิตรเพื่อนสมัยเรียนปริญญาโท โดนแฟนบอกเลิกหลังจากวางแผนแต่งงานกันได้ไม่นาน ด้วยเหตุผลที่หล่อนเพิ่งรู้ตัวว่า ‘เราเข้ากันไม่ได้’ เหตุผลคลาสสิคกลบเกลื่อนเหตุผลจริงที่ว่า ‘ฉันเจอคนอื่นที่ดีกว่าเธอ’ นิมิตรทนต่อสู้กับความเหงาเพียงลำพังไม่ได้ จึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะหาใครมาแทนที่ แฟนเก่าที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือยังโสดอยู่เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เหตุเพราะอย่างน้อยก็เคยรู้ใจกัน มันน่าจะง่ายกว่ารอคนใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร และอีกอย่างการสานสัมพันธ์เก่าๆ มันย่อมมีหวังมากกว่าการสร้างสัมพันธ์ใหม่ๆอยู่แล้ว เพราะคุณมีทุนเดิมอยู่ นอกเสียจาก ทุนของคุณจะติดลบไว้ เพราะจบแบบไม่สวยมา ถ้าเป็นแบบนี้ ขอแนะนำให้ไปตายเอาดาบหน้าค่ะ นิมิตรทำรายการชื่อแฟนเก่าพร้อมเบอร์โทรเท่าที่พอจะหาได้ และโทรหาทุกคน พยายามนัดออกมาเจอและดูว่ารายไหนน่าจะมีแนวโน้มพอจะก่อถ่านไฟเก่าให้ลุกขึ้นมาได้อีก ผู้ชายมักจะได้เปรียบเรื่องการออกล่าเหยื่อ เพราะเป็นธรรมชาติของเพศผู้ ไม่ได้ดูขัดเขินลูกตาหรือผิดจารีต แต่ลองเป็นสาวๆอย่างเราสิ ถ้าใครลองลุกขึ้นมาแต่งตัวสวยไปเดินตามบาร์ หรือ ไปที่เที่ยวกลางคืน ก็จะถูกหาว่า มาล่าผู้ชาย และจะถูกมองไม่ดีไปอีกร้อยแปดพันประการ ผู้ชายส่วนใหญ่ก็มักมีทัศนคติในทางลบกับผู้หญิงที่เจอก๋ากั่นตามร้านเหล้า บ้างว่า คบได้แบบสนุกๆ ไม่คิดเอามาเป็นเมียจริงจัง ดูสิ เราก็โดนทั้งขึ้นทั้งร่อง อยู่บ้านก็แห้งตาย ออกมาเที่ยวให้สุดฤทธิ์แบบขอเปรี้ยวเยี่ยวราด ก็กลายเป็นหญิงงามเมือง ไม่ค่อยมีความยุติธรรมเลยนะคะ คุณว่าไหม เล่าเรื่องนิมิตรต่อ สรุปว่า เขากลับไปหาแฟนเก่า เพื่อเอามาเป็นแฟนใหม่จนสำเร็จ พอแต่งงานกันก็เลยนับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ได้ยืดยาว ว่าคบหากันมาตั้งแต่มัธยมปลาย รักกันมาสิบสองปี ทั้งที่จริงจีบกันตอนมอห้า แล้วพอเอ็นติดก็แยกย้าย มาเจออีกทีก็นี่แหละหกเดือนที่แล้ว แต่แขกเหรื่อในงานวิวาห์ก็ชื่นชมว่าเป็นคู่รักทรหด แบบนี้มีหลายคู่นะจะบอกให้

บ้างก็คว้าเพื่อนสนิทมาทำแฟน แบบว่ามองกันไปมองกันมา ไม่รู้ว่ารักกันตอนไหน รู้ตัวอีกที เธอคือคนที่เข้าใจเรามากที่สุดแล้วหล่ะ เมื่อวัยวุฒิมันถึง อะไรๆก็เป็นไปได้นะคะ หลายคนที่มีแฟนแต่ไม่มีความสุข เพราะรู้แก่ใจดีว่าว่าคนข้างกายนั้นไม่ใช่คนที่ฝัน แต่ก็ไม่สามารถทนกับความเดียวดายได้ จึงจำใจอยู่กันไปแก้ขัด บางคนขอเพียงแค่ได้มีแฟน ถึงอีกฝ่ายจะร้ายแค่ไหนก็ยอมทน กุลธิดา เพื่อนที่ทำงาน ผู้ซึ่งรู้ทั้งรู้ว่าแฟนนอกใจไม่รู้กี่ครั้ง แต่ก็ยังทนได้ สารภาพให้ดิฉันฟังเป็นวิทยาทานว่า “เราอยากมีความรัก แค่ได้รู้ว่ามีใครเป็นแฟน มันก็อบอุ่น ได้มีใครสักคนไว้คิดถึง ไว้พูดถึง ไว้ไปไหนมาไหนเป็นเพื่อนบ้าง ก็ยังดีกว่าไม่มีใครนะ” กุลธิดาพูดไปยิ้มไป แต่นัยน์ตามีแววเศร้า ใครๆก็รู้ว่าแฟนของหล่อนเจ้าชู้มาก และพูดจาไม่ให้เกียรติหล่อนบ่อยๆ แต่กุลธิดาก็มีความสุขที่ได้มีความรัก ความรักแบบนี้ ดิฉันว่าน่ากลัวทีเดียว เหมือนเราตกหลุมรักกับความรัก ภาษาอังกฤษว่า fall in love with love คือ เราไม่ได้รักคนๆนั้น แต่เรารักการมีความรัก เป็นภาวะ ที่ต้องการมีความรักกับใครก็ได้สักคน “มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่นา” เพื่อนสาวโสดคนหนึ่งของดิฉันออกความ เห็น “คนเราอยากมีความรักมันจะผิดตรงไหน” ดิฉันเองก็ว่าไม่ผิด แต่ถ้าคุณเป็นอย่างกุลธิดา คือ รู้ทั้งรู้ว่าคนรักหักหลัง แต่ยังขอมีเขาอยู่เพื่อได้มีความรัก แบบนี้ ดิฉันเห็นว่า คุณรักตัวเองน้อยเกินไป และให้เกียรติตัวเองน้อยเกินไป รักคนที่สมควรรัก รักคนที่เห็นคุณค่าของความรักของเรา นี่เป็นมโนภาพของความรักในแบบที่ดิฉันใฝ่หา เคยมีครั้งหนึ่ง ดิฉันไปสัมภาษณ์งานกับหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งตอนอายุได้ยี่สิบสอง เมื่อผ่านรอบข้อเขียน ทุกคนจะต้องถูกสัมภาษณ์โดยนักจิตวิทยา เป็นอะไรที่แปลกมาก ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ก็เป็นไอเดียที่น่าสนใจ ดิฉันจำได้แม่นว่า คำถามแรกที่นักจิตวิทยาหนึ่งในสามท่านถามดิฉันคือ “หนูมีแฟนรึยังจ๊ะ” ดิฉันตอบไปว่า “ก็พอมีดูๆกันอยู่ค่ะ” คุณหมอท่านเดิมถามต่ออีกว่า “หนูจะเลือกผู้ชายแบบไหนมาเป็นคู่ชีวิต” ตอนนั้นดิฉันนึกว่า มันเกี่ยวอะไรกับงานนี้นะนี่ แต่ก็เป็นคำถามที่ชวนให้คิด เพราะสมัยเด็กเราก็คงไม่ต้องการอะไรมาก นอกจาก รูปหล่อ พ่อรวย นิสัยดี แต่การสัมภาษณ์ระดับนี้ ดิฉันคงจะตอบอะไรตื้นๆแบบนี้ไม่ได้ สามสิบวินาทีที่หยุดคิด ดิฉันตอบสิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจขณะนั้น โดยไม่รู้ว่า ข้อความเหล่านั้นจะฝังใจตัวเองจนกลายมาเป็นบุคคลิกภาพของดิฉันในปัจจุบัน “หนูชอบคนที่หนูจะสามารถภาคภูมิใจในตัวเขา และเขาก็ภาคภูมิใจในตัวหนู ชอบคนที่พอใจในสิ่งที่หนูเป็น คนที่เห็นว่าหนูเก่ง หนูดี และเขาก็ต้องเก่งด้วยและดีด้วย ความดีและจิตใจนี่สำคัญมาก เพราะท้ายที่สุด เราจะภูมิใจที่แฟนเราเป็นคนดี มากกว่าที่เขาเป็นคนเก่งหรือคนรวยค่ะ” คุณหมอยิ้มแล้วถามว่า แล้วหนูคิดว่าเจอคนๆนั้นแล้วหรือยัง ดิฉันตอบอย่างใสซื่อว่า “คิดว่ายังค่ะ” คุณหมอยิ้มอีกครั้งก่อนที่เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นต่อไป ดิฉันไม่รูัหรอกว่า คำตอบที่ให้ไปนั้นดีมากน้อยเพียงใดในเชิงจิตวิทยา ดิฉันรู้แต่ว่า เป็นคำตอบที่ไม่โกหกตัวเองที่สุด และเมื่อได้พูดออกไปแล้วก็รู้สึกสบายใจ ตอนนั้น ดิฉันคบกันผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นอย่างที่ดิฉันพูดออกมาเลย เขาไม่เคยชมอะไรฉันสักนิด มีแต่ติในทุกๆเรื่อง พอวันไหนดิฉันงอนหรือน้อยใจ เขาก็จะขำๆแล้วพูดว่า “แหมตัวเองก็ ตัวเองก็รู้อยู่แล้วว่าเค้าพูดเล่น ถ้าไม่ชอบตัวเอง เค้าจะมาคบกับตัวเองเหรอ” แต่ถ้อยคำวิจารณ์ก็พรั่งพรูออกมาจากปากของเขาไม่มีวันจบสิ้นจนดิฉันแทบทนไม่ได้อยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ดิฉันจะอ้วนไปบ้างหล่ะ แต่งตัวไม่ทันสมัยบ้าง ไม่ทันคนบ้าง คำพูดต่างๆที่ทำให้ self-esteem หรือ ความรู้สึกรักและเคารพตัวเองของดิฉัน ต่ำลงๆ แต่ดิฉันก็ทนอยู่ ด้วยความที่ว่า ‘ดีกว่าไม่มีแฟน’ แต่หลังจากได้ตอบคำถามท่านนักจิตวิทยาครั้งนั้น ดิฉันได้คิดว่า ทำไมเราต้องเป็นฝ่ายรอให้เขาเลือก ทำไมเราไม่เป็นฝ่ายเลือกผู้ชายบ้างหล่ะ ในเมื่อผู้ชายคนนั้นมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกใจเรา ทำไมเราต้องทน ไม่นานดิฉันจึงปลีกตัวออกห่างจากเขา และพ้นจากบ่วงวจีกรรมได้สำเร็จค่ะ

เชื่อว่าเพื่อนสาววัยสามสิบอัพ คงกำลังรอรถด่วนขบวนสุดท้ายกันอยู่อย่างเงียบๆ อย่าปฏิเสธเลยค่ะว่าไม่แคร์ เดี๊ยนเองยังยอมสารภาพว่า นับวันรอเลยล่ะ อยากรู้จังว่าเนื้อคู่ของเราจะเป็นใคร จะเป็นคนที่เจอกันที่สัมมนาเมื่อวันก่อน และได้แลกเปลี่ยนเบอร์โทรกันไว้ไหม หรือว่าจะเป็นกิ๊กที่ควงกันอยู่แบบบุฟเฟ่ท์ เจอกันเมื่อธรรมชาติเรียกร้องอยากให้เจอ หรือว่าจะเป็นเพื่อนชายคนสนิทที่คบหากันมานานนับสิบปี เขาก็ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน เราเองก็ห่างวงการมาพักใหญ่ ใครหนอ ใครคนนั้น แต่ไม่ว่าวันๆนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ขอให้เรารู้ไว้เถิดว่า เกิดเป็นหญิง เรามีสิทธิเลือก เราไม่ได้เกิดมาเพื่อถูกเลือกนะคะ คนที่คุณคบด้วยคือคนที่คุณเลือกเขา ไม่ใช่เขาเลือกคุณค่ะ ถึงรถไฟเที่ยวสุดท้ายจะแล่นมาเอื่อยๆเชิญชวนเราขึ้น แต่ถ้าไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางคืออะไร หรือ ปลายทางเป็นคนละทิศละทางกับที่เราต้องการ เราจะไปตายเอาดาบหน้าทำไมเล่า play safe ค่ะ คิดให้ดี ความโสดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าต้องให้หยิบยกตัวเลขสถิติของสาวโสดในเมืองไทย หรือในโลก มาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือก็ได้ค่ะ คำว่านางสาวใช้ไปจนแก่ ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรนี่นะ พูดให้กำลังใจกันค่ะ เพราะเผื่อดวงใครจะเป็นดวงโสดถาวร ดิฉันนี่ยังลังเลใจอยู่เหมือนกัน เพราะความที่ทุกหมอดู คอมเมนท์ว่าเป็นดวงประ คู่ที่มีจะมีคนอื่นด้วย ไม่คาราคาซังกะแฟนเก่าก็จะมีคนอื่นเข้ามา เฮ้อ กลุ้ม แถมหมอบอกว่า ไม่มีทางแก้ไข ให้ทำใจยอมรับ ดิฉันก็เลยยังไม่แน่ใจว่า ถ้ามีแฟนจริงจังแล้วจะกล้าแต่งงานไหม บางทีชีวิตเราอยู่ลำพังมาสามสิบปี มันก็เริ่มชินๆนะ มีอิสระ และไม่ขึ้นตรงต่อใคร ไม่รู้สิคะ ยังพูดไม่ได้เพราะเวลายังมาไม่ถึง

พวกผู้ชายก็มีกลัวความโสดเหมือนกันนะคะ เมื่อหลายปีก่อนจำได้ว่า มีเพื่อนประถมโทรมาหาเพื่อทาบทามเดี๊ยนให้กับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่หมอดูประกาศว่า ถ้าไม่ได้แต่งงานปีนั้น ชีวิตนี้ก็จะไม่ได้แต่งอีกเลย เจ้าประคุณ คำพูดแบบนี้ ถ้ามาพูดกับเดี๊ยน เดี๊ยนไม่เชื่อนะคะนี่ ไม่ทราบว่าพ่อหนุ่มคนนั้นเชื่อเข้าไปได้ยังไง ถามถึงเหตุผลว่าเพราะอะไรเล่าถึงจะไม่ได้แต่ง เพื่อนบอก “เออว่ะ ลืมถามหมอไป” เฮ้อ ขอถอนหายใจอีกที เป็นคำทำนายที่ไม่สมจริงเอาเสียเลย คนเชื่อก็ค่อนข้างงมงาย ปรากฏว่า เดี๊ยนไม่ไปเจอหรอกนะคะพ่อหนุ่มคนนั้น เพราะเดาได้ว่า nerd เกิดมาไม่เคยมีแฟน เอาแต่เรียนๆๆๆ พอเรียนจบทำงานก็ก้มหน้าก้มตาทำไป วันๆ ไม่คิดเรื่องคู่ ไม่เคยปิ๊งสาวที่ไหน แต่พอหมอดูบอกมาแบบนั้น จู่ๆก็ลุกขึ้นมาบอกเพื่อนฝูงให้ช่วยหาเมียให้หน่อย คนแบบนี้ ไม่ใจเลยค่ะ

เมื่อสองปีก่อน แฟนเก่าคนหนึ่งของเดี๊ยนติดต่อมาทางอีเมล์ บอกว่าจะกลับมาจากต่างประเทศขอนัดพบจะได้ไหม ด้วยอารามดีใจเดี๊ยนก็ตอบตกลงไปค่ะ ในใจก็แอบนึกว่า จะมาไม้ไหนนะ จำได้ว่าเขามีแฟนแล้วนี่ หนุ่มคนนี้ปัจจุบันประสบความสำเร็จในอาชีพของเขามากๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าใครที่หลุดมือเดี๊ยนไปแล้ว จะได้ดีกันทุกคน เฮ้อ นักปั้นตัวจริงเลยเรานี่ อิอิอิ พูดเล่นค่ะ แต่หลายคนนะคะที่โด่งดังไปเลย เดี๊ยนนั่งฟังข่าวก็แอบเสียดาย แต่คนอย่างเราต้องไม่เดินถอยหลังค่ะ สายน้ำไม่มีวันไหลกลับ แหะๆ พูดซะดี แต่ก็แอบหวั่นไหวนะ คุณพี่คนนั้นขับซีรี่ห้ามาเลยค่ะ หน้าตายังจิ้มลิ้มเหมือนเดิม แต่ด้วยความเป็นอาร์ทติสหัวหูก็เลยดูยุ่งเหยิงไปหน่อย เดี๊ยนวางตัวพองามแบบว่าคุยกันแบบพี่น้อง แค่คนรู้จักมักจี่มาแต่เด็ก แต่พอเดี๊ยนไปทักว่า “ผมพี่ไปทำอะไรมา ยังกะทอร์นาโดลงเลย” เขาทำไงรู้ไหมคะ พี่เขาก้มหัวลงมาข้ามโต๊ะกินข้าวแล้วบอกว่า “งั้นจัดให้หน่อยสิ” นาทีนั้นเดี๊ยนลังเลมากๆ เป็นวูบแห่งการตัดสินใจ ถ้าเดี๊ยนยื่นมือไปทำให้ หนังอาจจะจบแบบคนละม้วนเดียวกันไปเลย แต่ในที่สุด เดี๊ยนก็บอกว่า “ไม่ดีมั้ง พี่หวีเองเหอะ เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” อยากตบปากตัวเองเหมือนกันแหละ พูดไปได้ยังไง พี่เค้าดูเขินๆนิดๆ เหมือนโดนตบหน้า เพราะเค้าก็ไม่ได้เป็นคนหน้าหม้อหูดำอะไร จากนั้นบทสนทนาก็ยังดำเนินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จริงๆ หลังจากอาหารมื้อนั้น เดี๊ยนก็ไม่ได้เจอพี่เขาอีกเลย ได้ข่าวอีกทีว่ากลับไปเมืองนอกแล้ว กลับไปโดยไม่ลา เพื่อนๆคิดดูสิคะ เดี๊ยนได้เสียรถด่วนขบวนสุดท้ายไปรึเปล่า หรือว่า ดีแล้ว นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น เดี๊ยนไม่เสียดายเลยนะ เพราะถ้าผู้ชายคนหนึ่งจะมีเจตนามาเจอเราเพื่อโยนหินถามทาง แต่พอไม่เห็นแววสำเร็จเพียงครั้งเดียวก็ตีตั๋วกลับเลยแบบนี้ ใช้ไม่ได้ค่ะ แสดงเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่นี่เป็นความเห็นส่วนบุคคลของเดี๊ยนนะคะ เพื่อนๆไม่ต้องเชื่อตามหรอก

เรื่องตามหาเนื้อคู่นี่ได้รับความสนอกสนใจมากจริงๆนะ เห็นได้จากนิตยสารแทบทุกฉบับ อย่างน้อยต้องมีบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น เคล็ดลับพิชิตใจชาย ทำยังไงให้แฟนขอแต่งงาน สิบห้าเทคนิคเพื่อยุติความโสด ไม่ว่านิตยสารเล่มไหนจะหยิบหัวข้อแนวใดมาเขียน ก็มักจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพื่อนสาวของเดี๊ยน ทุกคนนั้นถือได้ว่ามีความรู้ภาคทฤษฎีเป็นเลิศ ควรทำแบบไหนในเดทแรก วิธีมัดใจชาย คำพูดไหนเข้าหู คำพูดไหนไม่เข้าหู พวกเรารู้ทั้งนั้น เพียงแต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติจริง หรือบางทีพอถึงเวลาจริงกลับลืมทฤษฎีเจ้าค่ะ

ในที่สุดก็ต้องมานั่งรอรถด่วนขบวนสุดท้ายอยู่หน้าจอคอมฯ สาวยุค millennium อย่างเรา จะให้ไปยืนรอ ขาแข็งที่ชานชลาได้ไงคะ อินเตอร์เน็ทมีไว้ทำไม ใช้ hi5 หรือ facebook ดู profile หนุ่มๆเพื่อนของเพื่อน กันดีกว่า เผื่อมีคนไหนน่าสนใจจะได้ขอ add มาเป็นเพื่อน แถมสมัยนี้ เราสามารถเช็คประวัติคนที่เราสนใจได้โดยการ google ชื่อเขาเสียเลย ตอนแรกๆก็ไม่ชอบนะ เพราะมีแฟนเก่าคนนึงสมัยเด็กคนหนึ่งอีเมล์มาหาทั้งที่ไม่ได้ติดต่อกันมากว่าสิบปี พอถามว่าเอาอีเมล์เรามาจากไหน พวกบอก google มา นี่ขนาดเดี๊ยน เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามมาด้วย ยังสามารถ… ตอนนี้ใครอยากรู้อะไรก็ search สะดวกเกินไปแบบนี้ ไม่รู้จะทำให้พวกเราหาแฟนได้เร็วขึ้นหรือช้าลงหว่า แต่ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น