วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สาวๆจ๋า มาทาเล็บกันเถอะ


Skin care ที่อยากแนะนำ


พรุ่งนี้ค่อยมาเขียนค่ะ

แต่งหน้าตัวเองทู้กวันด้วยสิ่งเหล่านี้ ภาค 2

หลังจากแต่งตาแล้ว เราก็มาที่ผิวหน้า จริงๆแล้ว เราต้องทำผิวหน้าและลงแป้งก่อนนะคะ ค่อยแต่งตา แต่ดิฉันเขียนเรื่องของตาไปก่อน

เอางี้เพื่อไม่ให้สับสนกัน ดิฉันของสรุปขั้นตอนการแต่งหน้า (ของตนเอง) ดังนี้ ผิดถูกประการใดท่านกูรูโปรดชี้แนะ เริ่มด้วยล้างหน้าให้สะอาด เช็ดด้วย toner ตามสภาพผิว ตามด้วย serum แล้วแต่ที่มี ตามด้วย moisturizer ยี่ห้อที่ชอบ ลงครีมกันแดด ลง primer ลง foundation หรือ tinted moisturizer แล้วโปกแป้งทับเลย เป็นอันเสร็จพิธีการเตรียมหน้าเค้ก จากนั้นก็เป็นการแต่งหน้าเค้กใช่ไหมคะ ดิฉันเริ่มที่การทา eyeshadow (ถ้าวันนั้นคิดจะทา) แล้วค่อยดัดขนตา เขียน eyeliner แล้วค่อยปัด mascara เพราะไม่งั้น สีฝุ่นหรือครีมก็แล้วแต่ของ eyeshadow มันจะเปื้อนขนตา และทับเส้น eyeliner ที่เขียนไปแล้ว ทำตามขั้นตอนที่ดิฉันบอกแล้วจะไม่มีอะไรทับอะไร ไม่ต้องทาแล้วกลับไปเติม ยิ่ง eyeliner นะบางวันกรีดได้เส้นสวยเชียว ดันลืมทา eyeshadow พอทาแล้วสีดันมาทับเส้นสวยของเรา เซ็งไหมล่ะคะทีเนี้ย แล้วก็ต้องดัดขนตาก่อนทา eyeliner ด้วย เพราะบางทีการหนีบเราจะไปโดนโคนขนตาใช่ไหม แล้วเส้น liner ที่เราเขียนไว้มันยังไม่แห้งดี ก็เปื้อนกันไปอีก

ต่อด้วยการปัด brush on เราไม่แนะนำสีชมพู สำหรับคนวัยอย่างพวกเรา 25-35 ปี เพราะเราไม่เด็กพอที่จะแต่งหน้าแนวตุ๊กตาหรือ babydoll อีกแล้ว และก็ยังไม่มี sophisticated look แบบวัยสาวใหญ่พอที่จะแต่งหน้าเข้มขึ้น และเลือกใช้ brush on โทนสีชมพูเข้มที่ให้เนื้อสีล้ำลึก คนในวัยอย่างเราๆ ดิฉันขอแนะนำให้เลือกโทนอมส้ม เน้นว่า อมส้มนะคะ ไม่ใช้สีส้ม มันไม่เหมือนกัน เพราะโทนส้ม อาจจะเป็นชมพูอมส้ม ทองอมส้ม น้ำตาลอมส้ม ขึ้นอยู่กับ undertone สีผิวของแต่ละคน แต่สีส้มมันเป็นสีทื่อๆ ทาแล้วหน้าจะดูแข็งๆ ต่อให้ใช้สีส้มของเครื่องสำอางราคาแพง ก็จะทำให้การแต่งหน้าดูเป็น look cheap ไปได้ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆให้เลือกใช้สีโทนส้ม เช่น coral, nectar, peach หรืออะไรที่มีคำที่แสดงว่าสีมีอมส้ม ยิ่งถ้าได้ multi-shade ในตลับเดียวยิ่งดีใหญ่เลย เพราะสามารถเลือกปัดได้หลายรุปแบบและได้สีที่มีมิติ สีโทนส้มที่ดิฉันต้องมีไว้ติดบ้านคือ MAC สี pinch o' peach เจ้าตัวนี้ให้โทนสีส้มอ่อน ทายังไงก็ไม่พลาด ต้องทาเยอะๆด้วยซ้ำถึงจะออกสีแรง ดิฉันชอบโทนสีอ่อน เพราะถ้าต้องการสีเข้มก็ปัดเยอะๆได้ แต่ถ้าซื้อสีเข้มมา แล้วกะจะมาปัดเบาๆแล้วละก็ เจ๊งเลยค่ะ มันยากนะที่จะทำสีเข้มให้อ่อน ทำสีอ่อนให้เข้มขึ้น น่าจะเป็น task ที่ง่ายกว่า ดิฉันเคย in love แบบโงหัวไม่ขึ้นกับ brush on tri-tone สีอมส้มของ PN แต่มันก็เลิกผลิตไม่แล้วทั้งสี และเครื่องสำอางยี่ห้อนี้ก็หาซื้อไม่ได้แล้ว ทำไม๊ทำไมของที่เราชอบ มักเลิกผลิต เกิดอาการเซ็งจิตบ่อยๆนะคะ

brush on อีกสีที่ชอบ คือ Anna Sui เบอร์ 301 ที่ชอบสีนี้เพราะเป็นเหมือนปรัชญาทางเครื่องสำอางที่บอกเราว่าสีที่คุณเห็นด้วยตาเปล่า เวลาอยู่บนหน้าคุณแล้วมันจะเป็นคนละเรื่อง สีนี้ดูจากตลับออกแนวแดงเลย เข้มมากมาก ดูน่ากลัวสุดๆอ่ะค่ะ แต่พอปัดมาบนหน้าแล้ว สดใสมาก แจ่ม จรัส ใช้แล้วเกิดสุดเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด แต่งตัวลุยๆ ต้องการแก้มแดงๆแบบตะลุยแดด หรือไม่ก็เวลาไปทะเลที่ไม่แต่งหน้าอะไรแบบ full option แต่ต้องการแก้มแดงสุขภาพดี สีนี้เลยขอบอก...

มาถึงลิปสติกกันบ้าง ต้องขอออกตัวว่าไม่ค่อยชอบทาลิปสติก ทาทีไรเหมือนปากเจ่อ ยิ่งสีชมพูนะ ยิ่งทาไม่ได้เลย เจ่อมาก ใครๆก็บอกว่าเราคิดไปเอง เราเป็นคนผิวขาวน่าจะใช้ลิปโทนชมพูดีที่สุด แต่สำคัญคือตัวเราไม่ชอบหน้าตัวเองเวลาแต่งสีนั้น แล้วเราจะทนแต่งไปเพราะคนอื่นบอกว่าดีไปทำไมกันคะ นอกจาก จะไม่ชอบแต่งปากโทนชมพูแบบไร้สาเหตุแล้ว ดิฉันก็ได้พยายามคิดหาเหตุผลมาประกอบด้วย ดิฉันสันนิษฐานว่า การที่เราเป็ฯคนผิวขาว แล้วมี undertone ของผิวอมชมพู แถมอ้วนด้วย ทำให้การแต่งหน้า หรือ ทาปากโทนชมพู สีที่ได้มันจะเข้มขึ้น เพราะเรามี pink undertone เป็นของตนเอง แถมเรายังอ้วน ทำให้แลดูน่ารักเกินไปเหมือนซาลาเปาไหว้เจ้าสีขาวมีจุดชมพูตรงกลาง Noooooooooooooooooow....

ดิฉันเลือกใช้ลิปสติกและลิปกลอสโทนสีส้ม และขอมีประกาย shimmer หน่อยๆเพื่อเพิ่มมิติให้ริมฝีปาก ทาสีโทนอมส้ม หรือ nude แล้วจะไม่ค่อยพลาด แต่อย่าเลือก nude แบบเสมอืนผิวนะคะ เพราะหน้าคุณจะออกมาเหมือนคนป่วยระยะสุดท้าย ฝรั่งเขาแต่งได้เพราะหน้าเขามีมิติ มีโหนกแก้ม มีจมูกโด่ง คางแหลม แต่งตา smoky eye ช่วย พร้อมเขียนขอบปาก สีผิวฝรั่งก็ขับ nude tone อีก แต่สีผิวเอเชียอย่างเรา ถ้าไม่ขาวซีด ก็น้ำผึ้งหรือเข้ม มันไม่ค่อยลับกับโทน nude มาแนะนำสีโปรดกันเลยดีกว่า

ลิปสติกลงพื้นฐานชอบ Clinique สี tender heart เป็นสีชมพูดอมน้ำตาล แต่ออกน้ำตาลมากกว่าชมพู ทาทับด้วย lip gloss ยี่ห้อเดียวกันสีโทนเดียวกันคือสี Glamour จะสวย ดูภูมิฐาน sophiticate

วันสดใส ดิฉันชอบใช้ Laura Mercier ลิปสติก สี pink dawn เป็นชมพูอมส้มค่ะ

วันเปรี้ยวๆ แบบไม่ตั้งใจ ใช้ Shu Uemura สี BG902 สีออกส้มประกายมุข ทาแล้วออกแนว metalic เป็นสาวเก๋ๆ และอาจจะทาทับด้วยลิปกลอส ของ Shiseido สีสุดโปรดที่หาซื้อยาก คือเบอร์ G7 คือ ชอบ gloss แท่งนี้มากๆ ขาดไม่ได้ ทาเดี่ยวก็สวยแบบใสๆ ไม่เวอร์ ทำให้ใบหน้าที่อิดโรยดูสดชื่นขึ้น ทาเดี่ยวๆทัังๆที่วันนั้นไม่ได้แต่งหน้าก็ยังได้ เพราะไม่ออกสีมาก เจ้าประคู้น ขอให้อย่าเลิกผลิตสีนี้เล้ย ลูกช้างขี้เกียจไปแสวงหาซื้อสีอื่น กว่าจะขุดเจอมันนานมาก

เอาหล่ะก่อนจบ ขอวนมาที่ อุปกรณ์เสริม ที่ตอนต้นได้เอ่ยถึงไปหน่อยคือ primer ที่ทาก่อน foundation และแป้ง ดิฉันขอ endorse ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เท่านั้น แนะนำให้ใครไปก็ไม่มีผิดหวัง ทำให้เครื่องสำอางทุกแขนงบนใบหน้าของคุณติดทนนาน ช่วยลดความมันระหว่างวัน ทำให้ไม่ต้องควักแป้งมาตบเพิ่มเรื่อยๆ หรือ ใช้กระดาษซับมันเป็นระยะๆ มันคือ Laura Mercier Oil-Free Primer บอกได้คำเดียว ทิ้งท้ายไว้ตรงนี้ว่า น่าลอง...คุ้มนะ

แต่งหน้าตัวเองทู้กวันด้วยสิ่งเหล่านี้


สวัสดีค่ะเพื่อนๆ Pamchoice หายไปพักใหญ่เพราะคร่ำเคร่งกับการเรียน วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดี เสร็จ project ที่ทำมาตลอดทั้งเทอม เลยรู้สึกคันไม้คันมือและคันปาก อยากจะเล่าเรื่องเครื่องสำอางที่ตัวเองใช้ ที่เวิร์คบ้าง ไม่เวิร์คบ้าง ที่เคยเวิร์คสุดๆ แต่จู่ๆกับไม่เวิร์คซะงั้น มันเป็นวัฏจักรชีวิตน้อยๆของผู้หญิงจริงๆนะคะ พอเปลี่ยนฤดูผิวหน้าก็เปลี่ยนอารมณ์ ยิ่งคนที่ต้องเดินทางเปลี่ยน location จากเมืองร้อนไปเมืองหนาว จากเมืองแห้ง ไปเมืองชุ่มชื้นอย่างแพม โอย สงสารหนังหน้าที่ปรับตัวไม่ทัน กว่าจะใช้เวลายอมรับกับสภาพอากาศแห้ง เอาอีกแล้ว เจ้าของร่าง พาหน้ากลับไปหาอากาศชื้น แต่เพราะหัวใจมันเรียกร้องและหน้าที่มันร้องหาอ่ะนะคะ หน้าก็ต้องทนต่อไป...

เอาหล่ะ เข้าเรื่อง วันนี้อยากจะโชว์ข้าวของที่ใช้แต่งหน้าตัวเองประจำวัน ไม่ได้แสดงตนว่าเป็นกูรู หรือ สาวงามค้างสต๊อกแต่อย่างใด แต่ที่อาดหารเอาของดีมาโชว์ เพราะเชื่อว่ามีเพื่อนๆอารมณ์เดียวกันอยู่ไม่น้อย คือเพื่อนๆที่แต่งหน้าบางๆ ธรรมชาติ ให้คนพอรู้ว่าแต่ง แต่ไม่จัด เสริมส่วนนั้นนี้ ให้ใบหน้าดูมีสีสันและ sophisticate ขึ้นบ้างไรบ้าง ก็มาดูกัน ว่า Pamchoice ใช้อะไรบ้าง ของพวกนี้ใช้มานานมากกกกกกกกก จนคิดว่าเป็น regular products คือไม่ว่าช่วงไหนจะไปซื้อหาสิ่งอื่นใดมาเพิ่ม ของ set เหล่านี้จะอยู่กับเราตลอดกาล ถ้าพวกเธอไม่ถูกเลิกผลิตไปเสียก่อน

สิ่งแรก ขอพูดถึงผลิดภัณฑ์ที่เกี่ยวกับดวงตา แต่ก่อนไม่เคยคิดว่าการแต่งตานั้นสำคัญ แต่พอแก่ตัวลง ความสาวใสวัยเอาะหายไป น้ำใสๆหล่อเลี้ยงดวงตาเริ่มเหียดแห้ง ดิฉันก็ตระหนักว่า มาแต่งตากันบ้างไหม และสิ่งที่คู่กับดวงตาคู่สวย ก็คือ คิ้วคู่งาม แฟนเราบอกว่า ไม่ชอบคนกันคิ้ว กันทำไม ไม่ชอบคนเขียนคิ้ว เขียนทำไม ดิฉันต้องถามกลับว่า แล้ว เธอชอบคนสวยไหม เขาตอบ ชอบสิ ดิฉันก็เลยบอกว่า งั้นหยุดพูดเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ ก็เพราะใครที่มีโครงคิ้วสวยได้รูป มันจะเสริมให้ใบหน้าดูสวย มีชัยไปกว่าครึ่งนะคะ คิ้วที่โก่งหน่อย (ไม่ต้องโก่งแบบนางเอกงิ้วนะคะ) และปลายหางไม่ตก คือสุดยอดปรารถนาทั้งทางความงามและโหงวเฮ้ง เพื่อนๆลองหัดกันคิ้วตัวเองดูค่ะ ใครที่มีคิ้วบางมากๆอยู่แล้ว น่าจะลองเขียนคิ้วดูบ้าง เราแนะนำให้ใช้ดินสอ และควรเลือกโทน brown มันจะดูธรรมชาติกว่า อยากหนักก็เขียนเยอะๆ อยากธรรมชาติก็เขียนน้อยๆ ดีกว่าเลือกใช้สีดำที่มันจะทำให้คิ้วคุณดำเหมือนสาวอเมริกาใต้ทั้งที่เรามีใบหน้าแบบเอเชีย

ต่อมาสิ่งที่ดิฉันขาดไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้เลยคือ ที่ดัดขนตาของ Shu Uemura ใช้มาเกินหกปี (ซื้อใหม่เปลี่ยนเรื่อยๆนะ ไม่ได้ใช้อันเดิม) สนนราคาประมาณ 650 บาท ถ้าซื้อที่สนามบิน Narita ที่เมืองไทยไม่ทราบแล้ว มันหนีบได้งอน นุ่มนวล พอดีรับกับโค้งตาสาวเอเชีย เคยลองของยี่ห้อถูกๆ มันไม่รับกับโค้งตานะคะ แบบเหล้กของถูก มักหนีบแล้วเจ็บ เรียกว่าดัดไปร้องไห้ไปอ่ะ กลัวด้วยว่าพอดึงที่หนีบออกมา ขนตาเราจะหลุดมาด้วยทั้งแผง ขำไม่ออกเลยนะนั่น แบบถูกพลาสติก มักจะหนีบแล้วไม่งอน ยิ่งเพื่อนที่ขนสั้นด้วยแล้ว มีโอกาสที่จะดัดแล้วไม่งอน ดัดแล้วขนตาหลุดได้อยู่นะคะ
สิ่งที่ 2 ที่ขาดไม่ได้เลยคือ Mascara ลองมาหมดทั้งของถูกของแพง ตั้งแต่ Chanel, Dior, Bobbi Brown ยันของราคาย่อมเยาแต่คร่ำหวอดในวงการมาสคาร่าอย่าง Maybelline แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกคือ ส่วนใหญ่มักได้อย่างเสียอย่าง เช่น ปัดแล้วติดทนทานดี แต่ล้างออกยากมาก บางอันใช้แล้วขนตาเป็นแผงเป็นเส้น แต่บางไป บางอันเข้มงอนได้ใจ อย่าง Estee Lauder 360 lash อะไรสักอย่างแต่เราว่ามันติดเป็นก้อนบนขนตา พวกที่คล้ายต่อขนตา ก็มักดูไม่ธรรมชาติ ไม่ใช่แนวของเรา และปัญหาหนักสุกคือ เปรอะเปื้อนใต้ตาในช่วงบ่ายๆที่มีน้ำมันบ้าง เหงื่อบ้าง ทำให้เรากลายเป็นหมีแพนด้าตัวแม่ แต่ในที่สุด พระเจ้าก็ดลใจให้ดิฉันได้มารู้จักกับ Mascara ของ Cover Girl รุ่น lastblastlength แท่งสีเหลือง สุดยอดแล้วในด้านความยาว ขนตาเรียงเส้นสวย ยาว ดำ ไม่จับตัวเป็นก้อน ติดทน ไม่เปรอะ ไม่เป็นแพนด้า และล้างออกง่ายด้วยน้ำอุ่นหรือ makeup remover ถ้าใครที่ขนตายาวอยู่แล้วและต้องการเพิ่มความหนา ของแนะนำรุ่น แท่งสีส้ม lastblastvolumn เพื่อนของเราบางคนชอบมาก ขาดไม่ได้ แนะนำใครไปก็ต้อง love บางคนก็คลั่งสีเหลือง บางคนก็คลั่งสีส้ม แต่ตอนนี้ Cover Girl ออกรุ่นใหม่มาเป็นแท่งสีม่วง แบบรวมทั้งหนาทั้งยาว แต่เรายังไม่ได้ลอง ไว้ลองแล้วดีหรือไม่อย่างไรจะมาบอกต่อค่ะ สนนราคา ประมาณ $8-9 เท่านั้นเอง

สิ่งสุดท้ายของดวงตาคือ Eye liner สีดำ เราใช้มาก็หลายแบบหลายยี่ห้ออยู่นะ ตอนอยู่เมืองไทยที่เขาฮิตกรีดตาจัดๆมีหาง เราก็ใช้ Etude แล้ว love มาก ใช้ติดต่อกันมา 3 แท่ง ติดแน่น ติดทน เส้นคม และล้างออกง่าย แต่ที่เลิกใช้เพราะมาอเมริกาแล้วเราไม่ค่อยได้แต่งหน้าโทนสีลูกกวาดแบบนั้นแล้ว ที่นี่เขาเน้นธรรมชาติ ชอบ earth tone เราก็เลยหัดลองใช้รุ่นดินสอ แต่มีข้อเสียคือ เส้นใหญ่ ไม่ติดทน และติดสอมักจะไม่เป็น waterproof เกิดอาการแพนด้าได้ง่ายมาก แล้วก็หันมาลองรุ่น gel เราเริ่มต้นที่ Bobbi Brown เลยนะ ราคาแพงแถมยังต้องลงทุนซื้อแปรงหัวเล็กมาใช้คู่กัน ตอนแรกเราก็ชอบนะ ใครๆที่ใช้เขาก็ชอบและเสพติด แล้วโฆษณาว่าไม่เลอะ แต่สำหรับเรา มันเลอะนะ พอช่วงบ่ายก็จะมีเปรอะๆใต้ตาบ้าง แล้วที่สำคัญคือ พกพายาก เพราะมีแปรงนี่แหละ แปรงหางยาว ยาวเกินกระเป๋าเครื่องสำอางใดๆที่เรามีอยู่ พกไปพกมา ขนแปรงที่เล็กน้อยอยู่แล้ว เกิดงอเพระาโดนกดทับ เลยใช้ไม่ได้เลย เพราะเคล้ดลับของเส้นที่คมชัด มันอยู่ที่ปลายขนแปรงที่คมกริบนี่แหละ สุดท้ายเรามาลงตัวที่ Sephora Retractable Waterproof Eyeliner เป็นเหมือน automatic pencil ที่เป็นเนื้อครีม ทาง่าย ไม่เปรอะ ล้างออกไม่ง่ายมาก แต่ไม่ยากเกินไป ด้วยความที่เป็นหัวเหมือนดินสอข้อเสียคือเส้นจะไม่คมกริบ แต่ก็สามารถเขียนไล้ไปตามโคนขนตาได้ คิดไปคิดมา เราก็ไม่กลัวแล้วเรื่องเขียนเส้นบางอะไร เพราะจะเขียนทั้งทีคนก็ต้องเห็นอะไรแตกต่างกันหน่อย ใช่ไหม เลือกรุ่นที่เขียนง่าย ไม่เลอะดีกว่า เพราะเราไม่ได้มีเวลาแต่งหน้าหนึ่งชั่วโมงตอนเช้าก่อนไปเรียนนี่น่า แท่งนี้นะ ถูกและเขียนง่าย หายก็ไม่กลัว ครบสูตรเลย

เคล้ดลับอีกอย่างที่จะบอกคือ เพื่อนๆอาจเลือกซื้อ eyeliner สีอื่นมาทาสลับกับสีดำเพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการแต่งหน้าบ้างก็ได้ และ eyeliner สีอื่นนั้น เวลาเปื้อนจะไม่คอ่ยเห็นเท่าสีดำ เราแนะนำสีเขียวขี้ม้า เพราะให้เส้นสีเข้มทำให้ดวงตากลมโตขึ้นได้คล้ายสีดำ แต่พอเปื้อนก็จะไม่ค่อยเห็น และไม่เป็นแพนด้า แล้วถ้าเพื่อนๆถามว่างั้นเราเลือกใช้สีเขียวเข้มตลอดไปเลยได้ไหม ก็แล้วแต่นะ แต่ดิฉันไม่เอาเพราะยังไงเส้นตาสีดำมันก็เด่นสุด ตาโตสุด และเข้ากับการแต่งหน้าได้ทุกโทน

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

เที่ยวเขาใหญ่กลิ่นอาย Tuscani











ตั้งแต่ facebook เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่คนไทย การท่องเที่ยวแบบ "เพื่อไปถ่ายรูป" ก็เป็นที่นิยมมากขึ้นๆ ทำให้นักธุรกิจหลายกลุ่มพยายามสนอง need การไปเที่ยวเพื่อหาที่ถ่ายรูปของหนุ่มสาวชาวไทยยุค social network ตัวอย่างเช่น Primo Posto, Segundo Posto และสถานที่ใหม่ในรูปนี้คือ Palio at Khaoyai ร้านรวงต่างๆถูกจัดแต่งอย่างน่ารัก แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เน้นขายของกันสักเท่าไหร่ คนมาก็ไม่ได้เน้นมาช็อปปิ้ง แต่ทุกคนเน้นมาหามุมสวยๆถ่ายรูป ต้องยอมรับว่า เจ้าของเขาทำได้สวยจริงๆค่ะ มันดูเหมือนเดินอยู่ยุโรป (ถ้าไม่นับแดด และอากาศที่ร้อนเหลือเกิน) ไปวันเสาร์-อาทิตย์ แทบจะไม่มีที่ว่างให้ได้ถ่ายรูป แต่ละทีมที่มาก็เตรียมตัวพร้อมกันน่าดู แต่งตัวกันได้เหมือนไปถ่ายแบบ และตั้งอกตั้งใจมาเพื่อถ่ายรูปกันเหมือนมางานรับปริญญาเพื่อน เฮฮากันไปอีกแบบค่ะ แต่ก็ขอเตือนว่า อุหนุนร้านค้าเขาบ้าง อะไรบ้างนะคะ ไม่งั้นร้านรวงเจ๋งหมด แล้วจะเอาที่ไหนไว้ถ่ายรูปกันล่ะเนี่ย
อ้อ ที่ Palio นี้มี inn เล็กๆแทรกตัวอยู่ด้วยนะ สำหรับคนที่อยากมาพักใจกลาง... จะว่าไงดี ความสงบก็คงไม่ใช่ นอกจาเวลากลางคืน จะว่าความสวยงาม...ก็ได้นะ ถ้าชอบแนวนี้มากๆ แต่ภายในห้องพัก จัดสวยนะคะ มีตะกร้าของว่างไว้ให้ทานเล่นได้ตลอดวัน ราคาห้องคืนละประมาณ 2,900 บาท ไม่รวมอาหารเช้า

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

ตระเวนร้านน้ำชา-กาแฟทั่วเชียงใหม่ สนองใจตัวเอง 3











ร้านที่ 4 นี้ไม่เชิงว่าเป็นร้านน้ำชา-กาแฟ แต่เป็นร้านขนมแสนน่ารักชื่อ Mont Blanc "มองบลังค์" อยู่ปากซอยนิมมาน 9 ร้านใหญ่โตเป็นตึกสีขาวสะดุดตา ภายในตกแต่งแบบโมเดิร์น ตู้ขนมโชว์ขนมหน้าตาสีสันสวยงามชวนลิ้มลองไปซะทุกชิ้น สนนราคาก็น่ารัก ชิ้นหนึ่งไม่เกิน 45-85 บาท ราคาเบาๆแบบนี้มิน่าเล่า จึงเห็นบรรดาวัยรุ่นเชียงใหม่แวะเวียนมาชิมขนมกันไม่เคยขาดสาย สำหรับรสชาติหลังจากที่ได้ลองสั่งมาทานสองสามรายการถือว่าใช้ได้ แม้ว่าจะยังไม่ถึงนมเนยเท่าขนมของร้าน patisserie ฝรั่งเศสดังๆในกนรุงเทพฯ แต่ก็ถือว่าใช้ได้เชียวละด้วยราคาแบบนี้
ตรงข้ามร้าน Mont Blanc เป็นกิจการร้าน "ไมโลดิบ" ที่ใหญ่มาก ดิฉันอยากเข้าไปลองชิมดูสักหน่อย เพราะนอกจากร้านนี้ก็มีร้านไมโลดิบเปิดขายทั่วเชียงใหม่เลย แต่คุณสะมีห้ามไว้ เพราะเขาชิมมาทั่งวันจัดมาหนัก เขาบอกว่า "เธอนี่ของแพงก็จะกิน ของถูกก็จะกิน พี่ไม่ไหวแล้วนะ" เราก็เลยต้องจอด ก็ฝากเพื่อนๆที่ไปเที่ยวเชียงใหม่ชิมให้ด้วยนะ แล้วมาบอกว่าอร่อยมากน้อยขนาดไหน เราขอเดาว่าคงเป็นประเภทน้ำปั่นที่โปะผงไมโลเป็น topping แต่มันน่าจะมีอะไรที่สนุกสนานกว่านั้นในร้านนะ ก็ฝากชิมด้วยละกันค่า

แอ่วเจียงใหม่กะสามี มีแต่เรื่องกิน 2
















เป็นอีกร้านที่ไปถึงแล้ว งง ว่าตกลงขายอะไร เพราะหน้าร้านเป็นบ้านแบบตึกแถว เข้ามาแล้วไม่มีคนบอกทาง ไม่มีป้ายบอกใดๆทั้งสิ้น แต่ได้ยินเสียงกะทะผัดฉ่าฉิ้ง เสียงผู้คนอื้ออึงดังมาจากหลังบ้าน เหมือนผู้คนมารวมตัวกันแอบทำอะไรสักอย่าง พอรวบรวมความกล้าเดินทะลุเข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตมาจนถึงประตูหลังเปิดออก จึงเห็นว่าเป็นอุตสาหกรรมร้านอาหารoutdoor อยู่ที่ corridor หลังบ้าน เหมือนกับว่ามานั่งทานข้าวที่เฉลียงหลังบ้านเพื่อน

ส่วนเรื่องเมนูและความอร่อย ขอเล่าด้วยรูปก่อนนะ ชื่อร้านเลิศรส เดี่ยวจะแวะมาบอกทางไปทีหลัง จำได้แต่ว่า ใกล้วัดคำสิงห์
อาหารอร่อย สด ถูก โอ้ย ไปทานมาสองวันติดอีกเช่นกัน โดยเฉพาะจานง่ายๆ อย่าง ปลาหมึกชุบแป้งทอดกรอบ กับ ถั่วลันเตาผัดกุ้ง สุดยอดให้เก้าดาวเลย

ตระเวนร้านน้ำชา-กาแฟเก๋ทั่วเชียงใหม่ สนองใจตัวเอง 2


ร้านที่สามต้องพูดยาว เพราะไปกินสองวันติด เริ่มจากไม่ชอบ เป็นชอบ และติดหนึบ อยากรู้แล้วใช่ไหม ชื่อร้านแสนน่ารัก "หอมปากหอมคอ" รู้จักร้านนี้จากหนังสือแนะนำ แถมเพื่อนรักยังย้ำว่า เข้าไปสุดซอยนิมมาน 1 มีร้านขนามหวานน่ารัก ที่เขียนว่า Heartmade Patisserie เราก็คาดหวังไว้สูงมาก ซอยนิมมาน 1 นี่ก็ตื้นมากนะ แต่เราหาไม่เจออ่ะ เจอแต่บ้าน แล้วจบเลย แต่ต้องขอบอกว่าร้านนี้เขาดัดแปลงบ้านตัวเองมาเปิดร้าน ด้านหน้าจะเป็น hotel เล็กๆ ชื่อ Casa 2511 ถ้าเจอป้ายบ้านพักนี้ก้เดินทะลุเข้ามาด้านหลังจะเห็นห้องกระจกที่ไม่มีอะไรเลย ทำนองคล้ายห้องนั่งเล่นของบ้านใครเขา แต่ก็คงไม่ใช่ ในร้านจะมีสามีภรรยาวัยรุ่นเจ้าของร้าน ชื่อคุณชะกับคุณต้น นั่งๆ ยืนๆ เดินๆ เล่นคอมอยู่ คุณอาจจะยังงง เพราะมองเข้าไปก็ไม่เห็นขนมนมเนยโชว์ไว้สักนิด ลองเข้าไปเถอะค่ะ แล้วจะงงยิ่งกว่า และถามตัวเองว่า เขาขายอะไร หรือ เขาจะขายของไหมเนี่ย เมนูก็เขียนใส่กระดานดำไว้มั้งถ้าจำไม่ผิด ในร้านมีกลิ่นขนมกะโกโก้หอมอบอวน แต่ก็ยังมองหาของที่จะข่ายไม่เจอ ดิฉันเลยตัดสินใจถามว่า ขายอะไรคะที่นี่ เจ้าของร้านผู้หญิงอัธยาศัยน่ารักมากๆ บอกให้รู้ว่า ขายโก้โก้ร้อน-เย็น บราวนี่ กล้วยหอมทอดซอสส้ม สามีดิฉันบอกว่า เอามาทุกอย่างเลยครับ (ใจปล้ำนะพี่) แต่ก็ถามว่าแล้วของอยู่ที่ไหนครับ เจ้าของร้านคนเดิมบอกว่า เดี๋ยวทำเลยค่ะ เราสองคนงงมาก อ้อ คนเชียงใหม่ จังหวะชีวิตเรียบง่าย จะขายของก็ไม่ต้องทำโชว์ไว้ เดี๋ยวจะไม่สด สั่งเดี๋ยวนั้น ทำเดี๋ยวนี้ แต่ไม่นานมาก ดิฉันก็ได้ โกโก้เย็นมาทานก่อน เห็นแล้วช็อคอ่ะ แก้วเล้ก ข้นมาก เหมือนจะเป็น muesli โกโก้มากกว่าเครื่องดื่ม เสิร์ฟมากับก้อน coco freeze มันคือ โก้โก้แบบเดียวกันนี้เอาไปแช่แข็ง ทำเป็นเหมือนก้อนน้ำแข็ง ดื่มไปอึกแรก จุกมาก โกโก้จุกอก บอกไม่ถูกว่าชอบไหม รู้แต่ว่าหยุดดื่มไม่ได้ และก็หยุดแทะก้อน coco freeze ไม่ได้ด้วย หมดแก้วแล้วก็อยากจะสั่งช็อตต่อช็อต

ส่วนสามีได้โกโก็ร้อนมาทาน อร่อยมากอีกเช่นกัน เขาชอบมาก ไม่หวาน แต่เข้มข้น คนที่ไม่ชอบโกโก้คงไม่ต้องมา เพราะจะถอยทัพไม่ทัน แต่คนไหนที่เป็น cocomania ขอให้จงมาเถิด กลับไปนอนละเมอที่โรงแรมแน่นอน
กล้วยหอมทอดซอสส้ม ก็ดูง่ายมากนะ แอบสบประมาทว่า เฮ้ย ชั้นก็ทำได้นะแบบนี้ แต่อร่อยค่ะ อร่อยแบบชั้นคงทำไม่ได้อ่ะ ข้าน้อยขอคารวะ
และแล้วบราวนี่อุ่นร้อนก็มาเสิร์ฟ เป็นบราวนี่หนึบแฉะแบบที่เราชอบ หอม อร่อย ไม่หวานมาก ชอบเลยแหละ แต่เมื่อเราสองคนโดนโกโก้ร้อน-เย็น ตัดกำลังไปเสียแล้ว บราวนี่จากนี้จึงดูจะมากเกินไปที่จะรับประทาน
ระหว่างทานก็ได้มีการพูดคุยกัน เจ้าของร้านก็แนะนำที่ทานร้านอื่นๆอีก อัธยาศัยดีมากเลยล่ะค่ะ ทานเสร็จจะจ่ายตังค์ เจ้าของร้านไม่มีเงินทอน เลยบอกเราว่า ไว้ค่อยมาจ่าย ทั้งที่รู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว เฮ้ย ไว้ใจกันขนาดนี้เลย แต่เราก็ไม่ยอมอ่ะนะ เลยให้ตังค์เขาไว้แล้วค่อยไปเอาตังค์ทอนพรุ่งนี้ หาเรื่องชวนแฟนมากินต่ออีกรอบก่อนกลับกรุงเทพฯ


ตระเวนร้านน้ำชา-กาแฟเก๋ทั่วเชียงใหม่ สนองใจตัวเอง














ร้านแรกเป็นร้านน้ำชาสีสันสวยงาม ชื่อ เวียงจูมออน ภายนอกเป็นอาคารสีชมพู ภายในตกแต่งแบบอินเดีย นัยว่าเจ้าของเคยไปเที่ยวเมือง Jaipur (ชัยปุระ) ที่อินเดียที่เป็นนครสีชมพูแล้วติดอกติดใจ กลับมาสร้างสรรค์ร้าน tea room แบบผู้ดีอังกฤษ เชื้อสายอินตะละเดีย ชาที่ร้านนี้หลากหลายมาก ภาชนะที่จัดเสิร์ฟเป็นเครื่องเงินและเซรามิก สวยนะ ชาหอมแต่สำหรับเราคิดว่า ความหอมของชาไม่คงทน รสชาติที่ของน้ำชาไม่ติดที่ปลายลิ้น สรุกว่า น้ำชาไม่ได้มีอะไรพิเศษสำหรัยเรา แต่บรรยากาศดีมากๆ ยกเว้นเสียแต่จะมีโต๊ะข้างๆที่คุยกันเสียงดังจนเกินไปเหมอืนตอนที่เราไปเจอมา ร้านนี้เปิดบริการสองชั้น และมี afternoon tea set ในราคาไม่แพงมาก จำไม่ได้แม่น แต่น่าจะไม่เกิน 400 บาท


ร้านที่สองชื่อ Fern Forest Cafe แฟนเราสิ อยากไปเหลือเกิน ทำตัวเป็ฯคนรักธรรมชาติ ร้านอยู่ในซอยลึก หายาก แต่ป้ายบอกทางก็ใหญ่โตอยู่นะ ที่จอดรถไม่มีต้องแอบๆจอดริมถนนในซอย กาแฟ ชา ขนมอบเป็นโฮมเมด ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ก็ไม่เลว ราคาดี แก้วละ 40 บาท แต่มันเป็นร้าน outdoor ถ้าไปหน้าหนาวคงวิเศษมาก แต่เราดันไปหน้าร้อนซะงั้น


แอ่วเจียงใหม่กะสามี มีแต่เรื่องกิน




สวัสดีค่ะเพื่อนๆ pamchoice หายไปนานม๊าก ไม่ได้มีเวลามาอัพเดทค่ะ ภารกิจรัดตัวเหลือเกิน แต่ปีที่ผ่านมาก็ได้ไปเที่ยว ไปกิน มาหลายที่นะคะ ขอเริ่มจากทริปเชียงใหม่สามวันยี่สิบมื้อของเรากะแฟนนะ เราสองคนเคยไปเชียงใหม่กันหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มีการทัวร์ไหว้พระเก้าวัด หรือขึ้นดอยใดๆทั้งสิ้น เน้นกินและเยี่ยมหลินปิง ฮ่าๆๆๆ ตั้งแต่เริ่มทริปก็แวะกินอาหารเหนือรสชาติพื้นบ้าน บรรยากาศทันสมัยที่ร้าน ต๋อง ซอยนิมมานเหมินทร์ 9 ก่อนนะคะ ออร์เดิฟเมืองที่มีของกินเล่นล้านนานั่นนิดนี่หน่อย เป็นจานเรียกน้ำยอ่ย และเตรียมความพร้อมก่อนเจออาหารเหนือชุดใหญ่ที่สามีผู้อ้างว่าตนมีเชื้อคนเหนือ เพราะพ่อเกิดที่จังหวัดตาก (แต่ท่านก็ย้ายออกมาตั้งแต่เก้าขวบ) เลยชอบรสชาติอาหารแบบนี้ พ่อคุณสั่งมาเจ็ดจาน แต่ละจานล้วนมีชื่อเป็น dialect เหนือเอาเสียมากมาก เราตื่นเต้นนะแต่แอบกลัวเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนกินยาก แต่ปรากฏว่าทุกอย่างอร่อยหมดค่ะ อย่างเช่น จิ้นทอด ฟังดูแปลกเหมือนเป็นชื่อแมลงอะไรสักอย่างใช่ไหม แฟนเราก็ไม่ยอมแปล ทำให้เรานั่งกังวลจนเด็กเสิร์ฟเอาหมูสามชั้นทอดกรอบมาวางไว้ให้แล้วบอกว่า จิ้นทอดครับ เราถึงได้ถึงบางอ้อ เฮ้อ โล่งใจ ต่อด้วยแกงฮังเลที่รสชาติจัดจ้านแต่กลมกล่อม หมูให้มาแบบ lean lean อร่อยมากจริงๆค่ะ แล้วก็ยังมีอีกสารพัดจานที่เราจำชื่อไม่ได้นะ ขอโทษด้วย ดูรูปเอาละกัน