วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

สูตร Pound Cake ไม่ง้อของสำเร็จ


สูตรนี้เราไม่ได้คิดเองนะ เป็นสูตรของร้านเครื่องครัวดังในอเมริกา Williams Sonama เราทดลองแล้วว่าอร่อยดี รสชาติเหมือน S&P butter cake ชิ้นเลยนะ ทำก็ง่ายๆ

ส่วนผสม+วิธีทำ

ก่อนอื่นเปิดเตารอไว้ก่อนที่อุณหภูมิ 325 องศา C
และทาเนยรอบภาชนะขนาด ประมาณ 8.5*4.5 นิ้ว (ตำราแนะนำถ้วยแก้ว แต่ใครจะใช้ aluminium ก็ได้ค่ะ)

จากนั้นก็ทำส่วนผสมตามนี้นะคะ
1 1/2 cup all purpose flour (205 g.)
1/4 teaspoon baking soda
1/4 teaspoon salt

เอาสามอย่างนี้ร่อนให้ผสมกันก่อน พักไว้ในชาม

3/4 cup unsalted butter (room temperature นะจ๊ะ)
1 cup sugar
1 1/2 teaspoon vanilla extract

ตีสามอย่างนี้เข้าด้วยกันในอีกชามหนึ่ง (ที่ใหญ่กว่าชามแรกนะ) จะตีmanual ด้วย egg beater ก็ไม่ลำบาก หรือ ถ้าใช้เครื่องตีไฟฟ้า กด medium to medium high ค่ะ ตีจนฟูและเข้ากัน ไม่นานหรอก

2 large eggs ตอกไข่ทีละฟอง เข้าไปตีรวมกับชามเนยเมื่อกี้

เทแป้งจากชามแรกเพียงครึ่งเดียวลงไปตีกับถ้วย mixture เนย

ผสม 1/2 cup sour cream ลงไปตีร่วมกับ mixture จนเข้ากัน

เทแป้งที่เหลือลงตี จนเข้ากันดี

เทส่วนผสม ลงแม่พิมพ์ นำเข้าอบ 70 นาที

ได้เวลาปุ๊บเอาออกมาตรวจสอบโดยใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มลงไป ถ้าไม่มีส่วนผสมเหลวๆติดออกมาแสดงว่าใช้ได้แล้ว รอให้เย็นตัวลงประมาณ 15 นาที พร้อมเสิร์ฟค่ะ ทานคู่กับ icecream หรือ ชา กาแฟ ก็เป็น afternoon break ที่ดีนะคะ ไม่แพงด้วย สูตรนี้ตัดได้ประมาณ 8-10 ชิ้นค่ะ

ว่าด้วยเรื่องหน้าขาว


จะขอพูดถึงแค่ 4 ตัวนี้ก่อนนะ เพราะพอดีมีที่บ้าน

Paula's Choice นี่ชื่อดูไม่คุ้นหู แต่ดังมากนะจ๊ะ เกิดจากคุณสุภาพสตรีคนหนึ่งที่ทำงานเป็นนักเคมีของบริษัทเครื่องสำอางดังที่อเมริกา เขาก็อยากจะทำของดี ราคาถูก เพื่อให้ผู้หญิงได้สวยกันในราคาย่อมเยาว์ ที่เธอดังเพราะไปออกรายการ Oprah's และเขียนหนังสือสอนให้ผู้หญิงรู้ทันกลยุทธการตลาดของบริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่ สินค้าตัวดังสุดของเจ๊แก คือ BHA นัยว่า ทาเพื่อหน้าขาวสดใส ผลัดผิว สนนราคาแทบทุกชิ้นในเว็บเธอคือ $19 เท่านั้นค่ะ บวกลบนิดหน่อย ขายดีมากนะ บางเดือนก็ free shipping ทั่วอเมริกา ลองเข้าไปดูกัน เราน่ะใช้ตอนแรก ดีมาก ละเมอไปเลย แต่เมืองที่เราอยู่แดดจัดมาก เลยไม่รู้อุปทานหรือเปล่า ทา BHA แล้วไปตากแดดทำให้หน้าดำเป็นหย่อมๆ แต่ของเขาก็บอกว่าใช้ได้ทั้ง am+pm นะคะ แต่แนะนำให้ทาครีมกันแดดด้วย หลังใช้ตัวนี้ตอนเช้า

Kose Seikisei ดังมาเป็นสิบปี ตั้งแต่ตัวสบู่ดำ ตัวนี้ก็น้ำโสมปะหน้าเพิ่มความขาวก่อนลง moisturizer เราชอบนะ ขาวจริง แต่ผิวแห้ง ใช้เมืองไทยได้ผลดีกว่า ใช้เมืองนอก เพราะได้ความแห้งมาพร้อมกับความขาว

Philosophy Booster C เป็นวิตามินซีบริสุทธิ์สกัด ได้ผลในด้านความสว่างใสของใบหน้าในชั่วข้ามคืน เราชอบมากๆ และที่ชอบมากกว่าคือ ใช้ผสมกับ moisterizer ตัวที่เราใช้อยู่ประจำได้เลย เวลาทามันจะแสบๆหยิ๊บๆที่ใบหน้าเล็กน้อย ประมาณ 10 วินาที แล้วก็จะหายไป คุณสมบัติก็เหมือนวิตามินซีที่เราทานกันน่ะค่ะ แต่ตัวนี้ใช้ทาหน้าแก้หวัดไม่ได้เท่านั้นเอง ฮ่าๆๆๆๆ แต่ให้หน้ากระจ่าง สว่าง ขาว ได้แน่นอน ตัวนี้ $35

ตัวสุดท้าย ตัวโปรดของเรา Clinique Turnaround Concentrate เป็นเหมือน serum เข้มข้นใช้ทาก่อนลง moisturizer ผลัดผิวหน้า ให้เซลล์เก่าที่ตายแล้วหลุดออกไป และเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ของผิวที่ไฉไลกว่าเดิม ผลลัพธ์คืออะไร หน้าเราขาวขึ้น แต่นั่นไม่โดดเด่นเท่า smooth และ even tone ตัวนี้ไม่ได้ทำให้หน้าขาวได้เท่าตัว Booster C แต่ผิวหน้ามีคุณภาพดีขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ รอยแห้งที่ลอกเป็นขุยหลุดไป ผิวดูมีสุขภาพดี ไม่ได้ขาวเฉยๆ สรุป ถ้าใครผิวดีอยู่แล้ว แค่อยากขาวขึ้นใช้ Booster C ใครที่ผิวแก่ ผิวขาดน้ำ ผิวไม่แข็งแรง ใช้ Turnaround Concentrate น่าจะได้ผลตรงกว่าค่ะ ตัวนี้ $39

หมายเหตุ นี่เป็นความเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง

Crushcake Bakery ที่ Santa Barbara

ไปลองทานกันมาหรือยังคะ ร้าน Crushcake ที่ downtown Santa Barbara ของเรานี่เอง มีคัพเค้กหน้าตาน่าเอ็นดู และรสชาติใช้ได้ในลองหลายหน้านะจ๊ะ บางรสก็หวานไปจริงๆ แต่บางรสก็กำลังดี ของโปรดของเราคือ Strawberry Lemonade Cupcake รสหวานซ่อนเปรี้ยว เนื้อเค้กนุ่ม หอม กำลังดีเลยค่ะ ปกติเราไม่ได้ชอบรสชาติคัพเค้กอะไรนักหนา แค่ว่ามันสวยน่ารัก ชอบดู มากกว่าชอบทาน แต่บางร้านก็ต้องไปลองซะหน่อย ลองเพื่อให้รู้ว่าเป็นยังไง ร้านนี่น่าจะ hip สุดแล้วใน Santa Barbara บรรยากาศน่านั่งค่ะ ไม่ได้มีขายแค่เค้กนะ มี zone ของ sandwiches, salad, soup และเครื่องดื่มด้วยนะคะ เครื่องดื่มราคาถูกและมีเมนูหลากหลายมากๆ เช่น Caramel Chai, Honey Lemon Tea อะไรทำนองนี้ค่ะ เก๋ๆ ร้านอยู่บนถนน Anacapaใกล้ downtown public library ถ้านังสาย 11 ไปจาก Goleta จะถึงก่อน library ถ้านั่ง 24x ไป ก็ต้องเดินไปทางห้องสมุด แล้วเดินย้อนขึ้นไปทาง upper state street อยู่ใกล้ Alameda Park กะ โบสถ์สเปน น่ะค่ะ http://www.crushcakes.com/

พงศาวดารการใช้แชมพูของเดี๊ยน

ในภาพนี้คือ ที่ซื้อมาใช้ตั้งแต่ กันยายน 2009 พยายามหาที่ถูกใจ ช่วยให้ผมนิ่ม ไม่แห้ง ไม่เป็นรังแค มีน้ำหนัก อะไรต่อมิอะไร จึงจะขอแจกแจงสรรพคุณแต่ละตัว ดังต่อไปนี้ค่ะ
Nioxin เป็นแชมพูบำรุงหนังศีรษะ ตอนไปแอบใช้บ้านเพื่อนดีเหลือเกิน และพอซื้อขวดเล็กมาใช้ก็ดีมาก ขวดเล้กเป็นเบอร์ 3 ซื้อใช้ที่มิชิแกน แต่หาซื้อเบอร์นั้นที่ซานตา บาร์บาร่าไม่ได้ เลยได้มาเบอร์ 7 ไม่ค่อยดีอ่ะ ผมไม่ค่อยนุ่ม แต่หนังศีรษะก็สบาย เย็น ตามสไตล์ Nioxin

Bed Head รุ่น Self-Absorbed ใช้ดีตอนอยู่บ้านเพื่อนที่นิวยอร์ก ดีมากๆๆๆ แต่ที่นั่นอากาศเย็นกว่าที่นี่ ผมจึงแห้งกว่า พอมาที่นี่ รู้สึกว่า แชมพูหนักเกินไป แต่ครีมนวดเลิสเหมือนเดิมค่ะ สรุปคือ ถ้าอยู่เขตไม่หนาวจริง ใช้แค่ครีมนวด พอ

Aussie กลิ่นหอมแบบสะอาดๆ ชอบมากๆ ชอบตัว 3 Minutes Miracle Mask ใช้ครั้งแรก นิ่มเลย แต่ใช้ไปๆ งั้นๆอ่ะ ผมไม่แย่ลง แต่ไม่ดีขึ้น ไม่สามารถแก้ผมแตกปลายได้ค่ะ ตัวแชมพูเฉยๆมากๆ

Tsubaki สีขาว ดีกว่าสีแดง มากมายก่ายกอง โดยเฉพาะสำหรับคนผมแห้งแตกปลาย ไม่มีข้อติค่ะ แค่ใช้ๆไปแล้วเบื่อ แต่ทั้งแชมพูกับครีมนวดก็หนักเหมือนกันนะ แต่น้อยกว่า Bed Head บางครั้งเราก็อยากใช้แชมพูใสๆ

Aveeno Natural หอม เบาหัว สบาย แต่ผมไม่หายแห้งเท่าไหร่ ชอบแชมพู มากกว่าครีมนวด ครีวนวดไม่ช่วยอะไรเลยค่ะ ถ้าคุณผมธรรมดา ไม่เคยทำสี และสั้น แนะนำตัวนี้มากๆๆๆๆๆๆ เพระาไม่มีสารเคมี เบาหัว และ ทำให้ผมเพื่อนที่ไม่เสีย ดีมากๆ เงางามเชียว

Triple Neutrogena Hair Treatment รุ่นสีส้ม ดีมาก หอมมาก ผมนิ่มมาก ไม่มีที่ติ แค่เบื่อค่ะ

Loreal Vivo Pro สีส้ม ทำหน้าที่คล้าย Kerastase Oreo Relax กลิ่นก็เหมือน เราเคยคลั่งตอนปีแรกที่มาอเมริกา เพราะถูกมาก แต่พอสระแล้วจะรู้สึกเหมือนมีน้ำมันมาเคลือบผม บางคนก็อาจจะชอบ แต่เราไม่ชอบอีกต่อไปแล้ว เราอยากให้ผมนิ่ม แต่ไม่อยากได้ซิลิโคนเคลือบผมเวลาสระเสร็จ แต่เจ้าเคลือบนั่นคงช่วยให้ผมเรียบตรงขึ้นมั้ง แต่กลิ่นหอมดีค่ะ

Biosilk เหมือนจะดี แต่ไม่ดี ชื่อน่าจะทำให้ผมนุ่ม แต่ไม่เลย สำหรับเรา ผมหนืดมาก เลิกใช้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่บางคนเขาก็ชอบมากๆ

Garnier หอมแบบมะละกอๆ ผมนิ่มจริง แต่เราใช้แล้วหนังศีรษะมัน มีรังแคเกิดขึ้น แม่สงสัยว่าแรงไป

Head and Shoulder Volumn ดีนะ แก้รังแคได้ หลังจากที่ การ์นิเย่ทำพิษ แต่ผมไม่นุ่ม ไม่ลื่น ไม่อะไรเลย สำหรับเรานะ แต่คนผมสั้น เขาก็ชอบกัน

หมายเหตุ เป็นความรู้สึกส่วนตัว ผู้อ่านโปรดใช้แล้วแต่วิจารณญาณเองในการตัดสินใจนะคะ

ตัดผมกับช่างคนไทยที่ Thai Town LA

ชื่อร้านพี่ดี เขาตัดดีจริงๆค่ะ ตอนแรกเราไม่ค่อยจะเชื่อว่าจะตัดได้ดีกว่าร้านฝรั่ง พอไปลองปรากฏว่าติดใจค่ะ พี่เขาออกแบบทรงผมให้ดีจัง ใครไปตัดกี่คนกี่คนก็ชอบ ราคาก็เริ่มต้น $15 ขึ้นอยู่กับความยาวของผมนะคะ ตัดได้ทั้งชายหญิง นอกจากตัดผมแล้ว ก็มีบริการเหมือนร้านเสริมสวยทั่วไป คือ ทำเล็บ หมักผม ย้อม ดัด ยืด ทำนองนี้ค่ะ

อีกร้านที่ LA ร้านรสเด็ด



ร้านนี้อารมณ์ประมาณร้านอาหารมาตรฐานที่เมืองไทย คือมีของทานเล่นเยอะ มีเมนูอาหารแยะ ทั้งก๋วยเตี๋ยวน้ำ ก๋วยเตี๋ยวแห้ง ก๋วยเตี๋ยวผัด เมนูข้าวผัดต่างๆค่ะ เก่าแก่เปิดมานาน เจ้าของร้านก็อัธยาศัยดี้ดี เมนูเด็ดของร้านมีเยอะมาก แต่ที่เรานิยมกัน ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยวเป้ด (ไม่เป็นสองรองใครนะคะ) ราดหน้าหมูหมัก ข้าวกะเพราขาหมู ห้อยจ๊อ ไข่ยัดไส้ ข้ามมันไก่ ฯลฯ ค่ะ

หิวอาหารไทยใน LA ไปร้านอ๊อด ก๋วยเตี๋ยวห้อยขา สิคะ






























ตกหลุมรักร้านอ๊อดตั้งแต่แรกเจอเลยค่ะ ไม่ใช่แค่รักแรกพบนะคะ รับประทานกันมาปีกว่าๆ ถูกใจรสชาติอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเมนูก๋วยเตี๋ยว เช่น ก๋วยเตี๋ยวเรืออนุสาวรีย์ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำห้อยขาพิษณุโลก เย็นตาโฟรสเด็ด ก๋วยเตี๋ยวเป็ด หรือจะเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำต้มกระดูกหมูธรรมดาๆ เราไม่เคยลอง แต่น้องที่ไปด้วยกันต้องสั่งทานทุกครั้ง เมนูข้าวก็เลิศ ข้าวกะเพราหมูกรอบ คะน้าหมูกรอบดังข้ามรัฐไปเลย เมนูก๋วยเตี๋ยวผัด เช่น ผัดไทย ผัดซีอิ้ว ก็ยังหาตัวจับยาก กระเพาะเรามีแค่เนี้ย (ก็ใหญ่พอควรแล้วนะ) แต่อยากทานทุกอย่าง ซึ่งบรรจุไปในคราวเดียวไม่ได้ สนนราคาอาหารก็ถูกมากๆ เริ่มต้นที่ $3.50-7.00 เมนูเขามีให้เลือกมากมายนะคะ และสั่งอะไรมาก็อร่อยตลอด บอกที่อยู่กันเลยดีกว่า อยู่ Thai Town บนถนน Hollywood Boulevard ถ้านั่ง subway ก็ง่าย นั่งสายสีแดง ไปลง Hollywood/Western พอขึ้นมาก็จะเห็น Starbuck's อยู่ฝั่งตรงข้ามนะคะ ข้ามถนนมาอยู่ฝั่งสตาร์บัคส์ แล้วเดินลงไปทางขวา (ตามถนน Hollywood Boulevard) ไม่ถึง 100 เมตร ก็เจอร้านอ๊อด อยู่หัวมุมถนนเลยค่ะ

ร้านนี้มีอีกสองสาขา คือ North Hollywood กับ Sunset Boulevard ด้วยค่ะ รสชาติไล่เลี่ย แต่เราชอบร้านแรกมากที่สุด ข้อดีของสองร้านใหม่ คือมีที่จอดรถสะดวกกว่าค่ะ อ้อ ถ้าขับรถมาก็ Hollywood Boulevard ตัดกับ Western นะคะ จอดรถได้ที่ ตรง Starbuck's นั่นแหละ ฟรีด้วยค่ะ หรือ ถ้าขี้เกียจเดินและอยากเสี่ยงโชค หลังร้านก็มีที่จอดไว้ให้พอหอมปากหอมคอ 5-6 คันค่ะ

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

ผิวหน้าแก่แล้ว ช่วยด้วย Pre-mature aging facial skin


เฮ้อ อายุก็มากขึ้นเรื่อยๆ ตำแหน่งแห่งหนที่พำนักอยู่ก็เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เดินทางไปๆมาๆสะบัดร้อนสะบัดหนาวจนหนังหน้าปรับตนไม่ทัน แถมเรียนก็เครียดอีก อ้อ นอนก็ดึกแสนดึก ผลลัพธ์คือ หน้าแห้งตึง แต่ดูมัน หน้าดูกร้าน มีรอยคล้ำใต้ตาประหนึ่งเป็นแฝดผู้พี่ของหลินปิงที่ตามหากันไม่เจอ บางทีก็มีรอยสิวประเภทคล้ายผื่นๆซึ่งถ้าดูจากไกลๆจะไม่เห็น ต้องอาศัยคนใกล้ชิดมาลูบคลึงหน้าจึงจะพบ และอาจจะมีริ้วรอยเกิดขึ้นที่ร่องแก้ม รอยย่นหน้าผาก และที่น่ากลัวที่สุดคือ ตีนกา (ตอนนี้ยังไม่มาและขอให้อย่ามาในเร็วปีนี้)

เราเสาะแสวงหาทั้งผลิตภัณฑ์ความงามและเวชภัณฑ์มาบำรุงบำเรอผิวหน้า บางอย่างก็ได้ผลดีไประยะหนึ่งแต่แล้วก็กลับเฉยๆไปซะงั้น เหมือนผิวหน้าเราขี้เบื่อ หรือบางทีพอกำลังจะดี เราดันเดินทางไปเปลี่ยนอากาศ หนังหน้าก็ปรับตัวตามไม่ทันอีก แต่เจ้าตัวร้ายที่สุดนะ คือ การนอนดึก และ แสงแดด แต่อยู่ California อ่ะ จะหนีแสงแดดไปได้อย่างไรรรรรรรรรรรรรร

ที่บ่นๆบ่นมาเนี่ย ก็เพื่อที่จะเข้าเรื่องว่า ในที่สุด เราก็ไปเจอผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเราได้มาก และได้ผลมาเป็นระยะเวลานานพอที่จะแนะนำท่านอื่นๆต่อไป แต่ทั้งนี้ก็ต้องประกอบกับการที่เราพยายามเข้านอนให้เร็วขึ้นและนอนให้เพียงพอด้วยนะ และการเลือกครีมก็เลือกที่มันสามารถบำรุงถึงผิวชั้นใน ไม่งั้นจะเหมือนเอาน้ำมันๆมาเคลือบบนผิวหน้า ฝากแต่ความมันไว้ ผิวไม่แห้ง แต่ไม่หายแก่

ผลิตภัณฑ์ที่เราขอแนะนำได้แก่ Clinique Tournaround Concentrate ใช้ทาหลังล้างหน้าและหลังจากที่คุณเช็ดผิวด้วย toner ทาบางๆก่อนทา moisturizer ตัวอื่นที่ใช้ประจำอยู่ สนนราคาไม่แพงมากอยู่ที่ $39 ในขณะที่ครีมที่มีราคาแพงขนาด $200 ยังไม่สามารถช่วยให้ผิวหน้ากลับมาใส ทำให้ผิวหน้ามีสีสม่ำเสมอ หมายถึง even skin tones น่ะค่ะ ทำให้สอยสิว รอยจ้ำแดง อะไรต่อมิอะไรหายไป ริ้วรอยข้างแก้มก็ค่อยๆหายไปด้วยค่ะ ผิวหน้ากลับมากระจ่างใส และหายอาการผิวหิวน้ำแต่หน้ามันไปได้เลย ไม่รู้ครีมตัวนี้ทำงานยังไงนะคะ แต่สพพคุณเขาว่าช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออกไปอย่าง gentle เราเคยใช้ตัววิตามินซีบริสุทธิ์ของ Philosophy ที่ชื่อว่า Booster C ตอนนั้นหน้าจะขาวดูใส แต่ไม่สามารถแก้อาการผิวกระหายน้ำและผิวแก่ได้ ผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆที่เคยใช้มา ถ้าคุณเห็นในภาพก้ได้ผลดีปานกลางถึงดีมากนะคะ แต่มันเป็นแบบได้อย่างเสียอย่าง เช่น หน้าขาวแต่ไม่ชุ่มชื่น หรือหน้าชุ่มชื่นแต่มันเกิน หรือ ช่วยให้หน้าอิ่มฟูแต่ไม่ขาวใส แต่เจ้า turnaround ตัวนี้นะ ครบ

หมายเหตุ อย่าลืมว่าผิวแต่ละคนไม่เหมือนกันนะคะ เราใช้ดีคุณอาจจะใช้ไม่ดี ทางที่ดีลองศึกษาดูก่อนนะ หรือถ้าเพื่อนคนไหนจะไปขอ sample มาทดลองก่อนสัก 1 สัปดาห์ก็ดีนะคะ ถ้าเพื่อนคนที่อยู่อเมริกาอยากลองเราแนะนำให้ไปที่ Nordstrom นะ เพราะที่นั่น policy ดีมากเลย เขา make sample ให้เราอย่างเต็มอกเต็มใจตลอด

สำหรับรอบดวงตา ตอนนี้เรากำลังปลื้ม ครีมที่ไม่แพงมาก ยี่ห้อก็ไม่ดัง แต่ให้ผลเร็ว คือ ของ Boots รุ่น Protect & Perfect Eye Cream ราคาประมาณ $19 หรือที่เมืองไทยประมาณ 990 บาทค่ะ แรกใช้ก็เห็นผลภายในสามสี่วันเลยว่าเนื้อใต้ตาดูฟูดูอิ่มขึ้น ไม่โบ๋วเหมือนก่อน เห็นผลมากกว่าครีมของยี่ห้อเคาน์เตอร์ตามห้างที่แพงๆอีกค่ะ

บอกแล้ว อันไหนใช้ดี เราบอกต่อ

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

เมนูปลากะพาสต้า สูตรเราเอง

Bread Crumb Fish and Mozzarella Tomato Pasta

วิธีทำง่ายมาก และเครื่องปรุงก็น้อย แถมปลาก็กรอบ ไม่อมน้ำมัน

ส่วนผสมหลัก
ปลาหรือไก่แล่ชิ้นบางๆ
bread crumb ถ้าชอบเค็มใช้ Italian bread crumb ถ้าชอบจืดๆใช้ original หรือ reduced salt
พาสต้าตามรูปร่างที่ชอบหรือที่มีติดบ้าน
mozzarella cheese แบบไหนก็ได้ (ก้อน แผ่น แท่ง)
มะเขือเทศกระป๋อง แบบ diced seasoned tomatoes (เอา Italian garlic and basil จะเข้มข้นหน่อย)

วิธีทอดปลา
1. ตีไข่ไก่ไว้ เอาปลามาชุบไข่ แล้วไปชุบเกล็ดขนมปัง
2. ตังกะทะไฟแรง น้ำมันมะกอก (หรืออะไรก็ได้) ประมาณ 1-2 ช้อน รอจนน้ำมันร้อนจัดจนมีควันขึ้น (แต่ไม่ได้ไหม้นะจ๊ะ หรือ อย่ารอจน alarm goes off น่ะ)
3. ใช้ส้อมจิ้มที่ด้านใดด้านหนึ่งของชิ้นปลา นำลงไปทอด เรียกว่า นำไปจ่อที่น้ำมันจะเหมาะกว่า สังเกตว่าเกล็ดขนมปังเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลทอง ก็ยกขึ้นเปลี่ยนข้าง ทำแบบเดิม ไม่ต้องรอให้ปลาสุกนะคะ วัตุประสงค์คือเพื่อให้เกล็ดขนมปังสุกต่างหาก
4. นำปลามาวางบนถาด เพื่อเข้าเตาอบต่อไป ที่อุณหภูมิ 375 องศา เวลาประมาณ 15 นาที (บวกลบ 3 นาที แล้วแต่ประสิทธิภาพเตาบ้านคุณ)

วิธีทำพาสต้า
1. เทมะเขือเทศออกจากกระป๋องใส่ถ้วย สับหอมใหญ่เป็นลูกเต๋าเล็กๆ ใส่ parley สับ (แห้งหรือสดก็ได้ ไม่มีก็ไม่ต้องใส่) เติม oregano
2. ต้มพาสต้าจนสุกแบบไม่นิ่มเกิน
3. เทส่วนผสมในข้อ 1 ลงไปคลุกเคล้า คลุกไปเรื่อยจนไม่มีน้ำแฉะ เติม ketchup เกลือ พริกไทย เพื่อเพิ่มรสชาติ (อย่าให้เค็มมาก เดี๋ยวจะใส่ชีสเข้าไปอีก)
4. ฉีก/หั่น mozzarella cheese เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยโปรยไปทั่วๆหม้อ คนไปเรื่อย คนชีสละลายเป็นเหนียวๆเกาะตามพาสต้า ใส่มากน้อยตามแต่ชอบ แนะนำว่าให้พอปกคลุมประมาณ 60% ของหม้อจะพอเหมาะ มากไปจะเลี่ยนเกิน น้อยไปจะไม่สะใจ
5. จบแล้ว ตักเสิร์ฟ พร้อมปลา

หมายเหตุ
ถ้าใครชอบเนื้อปลาชุ่มฉ่ำ ลองทำ butter lemon sauce ดูนะ โดยการละลายเนยก้อนแบบเค็มลงใน sauce pan ใส่พริกไทยดำป่นหยาบ น้ำมะนาวตอนปิดเตาแล้ว เสร็จแล้ว เอามาราดปลา กลายเป็น butter lemon fish อร่อยแบบเนยๆ ฝรั่งๆ

ลืมเค้ก S&P เพื่อนยาก กันไปหรือยังคะ


ตอนเด็กๆนะ พอถึงวันเกิดจะดีใจมากๆ เพราะแม่จะสั่งเค้ก S&P ขนาด 3 ปอนด์ ลวดลายการ์ตูนให้ มันเป็นความสุข และความเก๋อย่างที่สุดแล้วในช่วงนั้น แต่พอโตขึ้นและมีเงินเดือนเป็นของตนเอง เรากลับแอบยี้เค้ก S&P อยู่ช่วงหนึ่ง ทำนองว่า เบื่อแล้ว กินจนเบื่อ และหันไปหาเค้กไฮโซ ที่ทำโดยคนไฮโซ หรือเค้กที่มีหน้าตาและราคาไฮโซ ประมาณชิ้นละร้อยกว่าบาท ปอนด์ละเท่าไหร่ก็คำณวนกันดูนะคะ ด้วยความรู้สึกว่า อร่อยกว่า ถึงเครื่องกว่า มีรสชาติให้เลือกมากกว่า มันก็จริงนะคะ

แต่บางครั้ง เราก็แค่อยากทานเค้กที่รสชาติเค้กๆ เหมือนเค้กธรรมดา เช่น รสบัตเตอร์ กาแฟ ใบเตย ช็อคโกแล็ต วนิลา ชื่อของ S&P ก็เลยวนกลับมาหาเราอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ไว้คอยซื้อขนมอบลด 25% ในวันพุธ แต่เราหันกลับมาสั่งเค้กปอนด์ของ S&P ในโอกาสพิเศษๆ แล้วก็เกิดความประทับใจว่า กว่าสามสิบกว่าปี เค้กของ S&P ก็ยังคงรักษามาตรฐานของตนเองได้ แถมยังพยายามที่จะพัฒนา line สินค้าของตนเองขึ้นไปเรื่อยๆในราคาที่ใครๆก็ซื้อได้ (เค้กปอนด์ละสามร้อยบาท) ถ้าอยากได้เค้กหน้าตาสวยงาม S&P ก็มีไว้บริการด้วย

ถ้าใครอยากสั่งขนมอบของเค้ามาจัดเลี้ยง S&P ก็มีบริการส่งถึงบ้านค่ะ ในอัตราค่าส่ง 20 บาทในเขตกรุงเทพฯ ไม่มีกำหนดขั้นต่ำของการสั่งของ ยังไงก็ดูที่เว็บไซท์ของเขาอีกที

ลองกลับมาทานของที่ฮิตในวัยเด็กบ้างเช่นเค้ก S&P หรือไก่ย่างห้าดาว ก็ไม่เลวน้า ได้บรรยากาสไปอีกแบบ ย้อนยุคโดยไม่ต้องไปถึงเพลินวาน :>

อยากจัดเลี้ยงที่เมืองไทย แต่ไม่อยากให้งบบานปลาย ทำไงดี





การจัดงานเลี้ยงเองที่บ้านดูเป็นเรื่องน่าสนุก แต่ก็น่าปวดหัวเป็นที่สุด ไหนจะต้องเตรียมสถานที่ ทำหรือสรรหาซื้ออาหาร ที่แย่สุดคือการจัดเก็บล้างจานและบ้าน สุดท้ายพวกเราก็เลยนิยมไปสังสรรค์กันที่ร้านอาหาร

แต่จากประสบการณ์ของเรานะ การจัดเลี้ยงที่บ้านอาจไม่ยากและไม่แพงอย่างที่คิด เราได้ทำความรู้จักกับบริษัทจัดเลี้ยงชื่อ Dee Catering ตอนเราจะจัดเลี้ยงงานแต่งงานที่บ้าน ดูจากเว็บเขาแล้วมั่นใจว่าอาหารจะออกมาสวย แต่เรื่องความอร่อยล่ะ ใครๆก็อยากได้งานเลี้ยงที่ อาหารสวย อร่อย และดูมีระดับ ในราคากระเป๋าไม่ฉีก ร้านนี้เลยค่ะ อาหารอร่อย รสชาติไทยๆ เมนูง่ายๆแต่อร่อยชะมัด เรื่องราคายิ่งถูกเกินคาด ถ้าจัด cocktail ราคาเริ่มต้นที่หัวละ 150-300 บาท สำหรับรายการอาหาร 6-13 รายการ ถ้าเป็น buffet ราคาอยู่ระหว่าง 185-380 บาทต่อหัว สำหรับอาหาร 7-13 รายการ แถมรับจัดถ้าคุณสั่งตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป ลองหารดูสิคะ 20 กว่าหัว คุณก็จ้างเขามาจัดให้ได้แล้ว ค่าบริการจัดเพียงแค่ 1,700 บาท แต่คุ้มเกินราคาค่ะ เพราะทางร้านเขาจะจัดส่งพนักงานในชุดยูนิฟอร์มน่ารักมาดูแล เสริฟ์น้ำ เติมอาหาร และอยู่รอเก็บของกลับอย่างเรียบร้อยและไม่พูดมากทื่สุดในโลก มีมารยาทดีกันมากๆ ค่าจัดนี้ ยังรวมถึง จานชามที่ใส่อาหาร โต๊ะวาง line อาหาร ของประดับบนโต๊ะเล็กน้อย ภาชนะใช้รับประทาน กระดาษเช็ดปาก และ น้ำเปล่ารวมทั้งน้ำแข็งและแก้ว ดูสิคะ สะดวกแค่ไหน

ถ้าใครต้องการดอกไม้ประดับเพิ่มหรือ prop อื่นๆ เช่นลูกโป่งทาง Dee Catering ก็สามารถจัดหาให้คุณได้ ในราคาที่ดิฉันพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้แพงกว่าเจ้าอื่นๆ แถมทาง Dee Catering ยังจะควบคุมดูแลคุณภาพการจัดแต่งให้คุณด้วยค่ะ

ถ้าสนใจลองดูที่เว็บนี้นะ แล้วติดต่อ คุณคิ้ม หรือ คุณเจน บอกว่าน้องแพม (น้องสาวพี่มุก) แนะนำมาก็ได้ค่ะ

www.deecatering.com

หมายเหตุ เหมือนเดิมนะ ข้าพเจ้าไม่ได้ค่าโฆษณา แต่เห็นว่าของดีก็อยากบอกต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

Bread Shop in San Francisco

Boudin ร้านขนมปังดังมากย่าน Fisherman's Wharf ในซานฟราน ร้านนี้ไม่ได้มีดีแค่ที่ขนมปังนะ Clam Chowder เขาดังสุดๆเลย ไปช้าหมดเลยนะ โดยเฉพาะแบบใส่ในถ้วยขนมปัง sourdough

Beef Sashimi Bowl

นี่เป็นอีกหนึ่งจานโปรดที่เราบอกตัวเองว่า อร่อยด้วย และมีประโยชน์ด้วย เรียกว่า แทบจะไม่มีไขมันเลย (มั้ง) เป็นเนื้อย่างแบบ medium rare ฝานมาบางๆ โปะมาบนข้าวสวยร้อนๆแบบเกาหลี พร้อมกับผักสลัดอีกหนึ่งกะบุง พิเศษสุดที่น้ำซอส เป็นโชยุผสมมากับต้นหอมสับ วาซาบิ มีกลิ่นขิงสับนิดๆ และให้รสเปรี้ยวจากอะไรไม่ทราบแน่ แต่คาดว่า rice vinegar รสชาติเผ็ด เปรี้ยว ดุ เค็มนิดๆ กลมกล่อมมากๆๆๆๆ ดูรูปสิคะ คอเนื้อไม่น่าพลาดเมนูนี้นะ

ใครอยากมาทาน ต้องมาที่ร้าน Sakura ร้านอาหารญี่ปุ่นสัญชาติเกาหลีที่ downtown Santa Barbara บนถนน State Street บริเวณ outdoor ของ Paseo Neuvo Shopping Center สนนราคาอยู่ที่ราวๆ $11

ประชันหน้าตา New York's cupcakes 3 ร้าน




วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

ทำ พิซซ่าญี่ปุ่น ง่ายกว่าที่คิดนะ



Okonomiyaki หรือ พิซซ่าญี่ปุ่นเป็นเมนูง่ายที่เราชอบทานมานานแล้ว แต่ไม่เคยกล้าคิดทำเอง เมนูนี้น่าจะใช้ส่วนผสมและเครื่องปรุงเหมือนกันขนมครกญี่ปุ่นหรือ Takoyaki ที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นกรุงเทพฯ เรารู้แต่ว่ามันทำไม่ยาก เราไม่มีสูตรแต่ก็ซื้อของมาก่อน ฮ่าๆๆๆ ตามประสาคนแนวอุปกรณ์ดีเด่น พอได้แป้ง ได้ซอส ได้ปลาโอป่น เราก็หาสูตรจากเน็ท แล้วเอามาประยุกต์เอง ปรากฏว่าอร่อยใช้ได้เลยค่ะ สูตรมีดังนี้นะคะ
แป้ง okonomiyaki กะหล่ำปลีหั่นฝอยมากๆๆๆๆๆ แครอทหั่นฝอยๆๆๆๆ ไข่ไก่ 1 ฟองต่อแป้ง 300 กรัม น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง เนื้อสัตว์ที่เข้ากันได้ เช่น ปลาหมึกยักษ์หั่นชิ้นเล็กๆ เบคอน แฮม หรืออะไรก็ได้ที่คุณชอบเป็นแนว fusion ไปเลยค่ะ east meets west

วิธีทำนะ ก็ผสมแป้งกับไข่และน้ำ ตีให้เข้ากันไม่จับเป็นก้อน ค่อยเติมน้ำไปจนไม่ข้นไปไม่เหลวไป ใส่ผัก ใส่เนื้อสัตว์ อ้อ ถ้าคุณใช้เบค่อน แนะนำให้ทอดก่อน แล้วเอามาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เสร็จแล้วก็เทน้ำมันใส่กะทะ บางๆก็พอนะคะ เหมือนคุณจะทอดแพนเค้กน่ะ แล้วเทส่วนผสมลงกะทะให้หนาพอประมาณ ซัก 1.5 ซม. ถ้าหนาไปข้างในจะไม่สุก แต่ถ้าบางไปจะไม่อร่อยและดูไม่เหมือนพิซซ่าญี่ปุ่น จริงๆแล้วที่ญี่นปุ่นเขาจะโปะหน้าพิซซ่านี้ด้านนึงด้วย yakisoba อร่อยไปอีกแบบ ถ้าจะทำแบบนั้น คุณก็ผัดเส้นกะน้ำมันและซอสเตรียมไว้นะ พอพิซซ่าด้านนึงสุก คุณก็เอาหมี่ไปโปะอีกด้านที่ยังไม่สุก แล้วกลับคว่ำลงทอดค่ะ

พอสุกครบดีทั้งสองด้าน ก็นำมาวางบนจาน ราดซอสของเขา คือซอส Okonomiyaki ทำแบบลายใยแมงมุมก็สวยค่ะ ตามด้วยมายองเนสที่ราดเป็นสายเส้นเล็กๆ (จะสวยมากน้อย ตอนนี้ขึ้นอยู่กัยศิลปะในใจคุณแล้ว) โรยผงปลาโอป่น (เยอะๆ ตามชอบ) ปิดท้ายด้วย ผงสาหร่อยที่เขาไว้โรยข้าวนะคะ หั่นพร้อมเสริฟ์แบบพิซซ่าทั่วไป ไชโย

Chelsea Market ที่ นิวยอร์ก


แหล่งของกิน ขายของ produce สดๆ เหมือนกับพวก farmer's market ในเมืองอื่นๆ เป็น indoor market ที่ตกแต่งสร้างบรรยากาสเหมือน Chelsea อะไรสักอย่างที่ London (ไปมาแล้วลืม) อ้อ Covent Garden ไม่ได้มีคำว่า Chelsea เล้ย คือ ทำเป็นแบบร้านๆๆๆตามซอกตึก เราไปหลงรัก supermarket ที่มีผักสด ผลไม้ และ salad bar ราคาไม่แพงมาก และที่ love มากๆเลยคือ ร้าน Lobster's Company เป้นเหมือนตลาดปลาที่มี ของทะเลทุกอย่าง สดมากกกกกกกก และมีทำเป็นซูชิแล่กันสดๆมาวางขายด้วย เรากับเพื่อนติดใจ Clam Chowder รสชาติกลมกล่อมมากๆๆๆ ไม่ได้ตั้งใจทานเมนุนี้เลย เพราะไม่ใช่สินค้าโดดเด่นของเมืองนี้ แต่ดั้น อร่อย ละเมอ

มาช็อปเสื้อผ้า basic ที่ร้าน Uni Qlo ย่าน SoHo


ร้านสัญชาติญี่ปุ่นที่ให้อารมณ์แบบร้าน muji คือขายสินค้าคุณภาพแบบไม่มียี่ห้อหรือโลโก้โชว์ที่อกเสื้อ แต่ต่างกันที่ร้านนี้เน้นขายแต่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เราชอบที่ผ้านิ่ม สวมใส่สบายมากๆ สินค้าขึ้นชื่อคือพวก long john, thermal ต่างๆที่เบา ผ้านิ่ม อุ่น สบาย ราคาก็ไม่แพงเลย ชิ้นละประมาณ $10 ค่ะ เราติดใจ legging กับ tights ของร้านนี้มากๆ ไซส์มาตรฐาน อ่านตามป้ายของเขา เชื่อเขาแล้วซื้อมาก็ใส่ได้พอดี เนื้อผ้าก็สุดยอด แถมไม่ต้องการวิธีทำความสะอาดที่ยุ่งยากซับซ้อน เพื่อนเราคนหนึ่งซื้อ down jacket มาใส่ เสื้อดูบางมาก ไม่น่าจะพอกับอุณหภูมิ -20 C ที่มิชิแกน แต่เขาก็ใส่ของเขาได้ตัวเดียวกับ thermal ข้างในนะ เอ้า อย่างนี้ต้องแห่กันไปลอง

วิธีไปมีหลายแบบ เรานั่งสาย F downtown ไปลงที่ Broadway-Lafayatte แล้วออก exit South Houston ออกมาแล้วเลี้ยวซ้ายนะ จะเจอร้านแผงลอยขายผลไม้ เดินลงมาตามถนนนั้นจะผ่านร้านรวงต่างๆ ประมาณ 2 blocks จ่ะ

อะไรจะถูกขนาดนั้นจ๊ะ Teriyaki Boy


ค้นพบร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ในย่าน Time Square กับสนนราคาเริ่มต้นที่จานละ $3.99 ราคาแบบนี้อย่าว่าแต่ time square เลยนะ Little Tokyo Town ใน LA ก็หาซื้อไม่ได้ บรรยากาศเหมือนร้านข้าวแกง แต่มีซูชิขายด้วย คุณสามารถเดินมาคว้าอาหารกล่องที่จัดเซ้ทไว้พร้อมแล้ว หรือ สั่ง เซ็ทพิเศษพร้อมตัก แล้วเอาขึ้นไปนั่งทานที่ชั้นสองของร้าน หรือซื้อ to go ไปทานที่ไหนก็ได้ สะดวก ประหยัดไหมล่ะ คราวนี้ไปเที่ยว time square ก็ไม่ต้องฝืดคอกลั้นใจทานแต่ junk food กันอีกต่อไป

อ้อ บรรยากาศที่นั่งชั้นสอง อาจจะดูแคบๆ แต่เหมือนร้านค้าในญี่ปุ่นเลย แถมเปิดเพลงภาษาญี่ปุ่นแบบวัยรุ่นๆอีก นั่งทานไปนึกว่า เอ๊ะ นี่เรามาเที่ยวนิวยอร์กหรือโตเกียวกันแน่

อ้าวเกือบลืมบอกที่ตั้ง อยุ่ติดกับ T-Mobile บนถนน 47Th ตัดกับ 7th Avenue หัวมุมถนนมีร้าน M&M สังเกตง่ายค่ะ แต่ร้านเป็นคูหาที่เล็กมากนะคะ

แวะพักเมื่อยที่ร้าน Hot and Crusty

อีกหนึ่งร้านที่ต้องการแนะนำ ร้านเบเกอรี่ข้างทาง สนนราคาถูกมาก แถวตั้งกระจายอยู่ทั่วไปในย่าน office และ public transportation ในนิวยอร์ก ชีสเค้กอร่อยมากเกินคาด ในร้านมี section ขาย คุ้กกี้ sandwich สลัด และ เครื่องดื่มด้วย

ร้านสหไทย Saha Thai ย่าน China Town



ร้านนี้อร่อยและไม่แพง เราว่าถูกกว่าร้านอาหารไทยร้านอื่นๆในนิวยอร์กนะคะ เจ้าของร้านลงครัวเองตลอด แถมยังมีเวลามาต้อนรับลุกค้าด้วย พี่เขาชอบ take care ลูกค้าคนไทยนะคะ ไม่เหมือนบางร้านที่มัก pro ฝรั่งตลอด เมนูเด็ด คือ หมูย่าง ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ราดหน้า ผัดไท ปีกไก่ยัดไส้ก็น่าอร่อยนะคะ แต่เรายังไม่เคยชิม ร้านอยู่บนถนน Grand ตัดกับ Centre จริงๆแล้วก้ไม่ห่างจากย่าน SoHo เท่าไหร่นักค่ะ

Junior's Cheesecake in New York City




เล่าด้วยรูปก็คงพอได้กับรายการขนมของร้านนี้ ดูหน้าตาร้านจากภายนอกรู้สึกว่าไม่น่าจะอร่อย แต่พอได้ลิ้ม cheese cake ของร้านนี้บอกได้คำเดียวว่า ละเมอ ค่ะ ละเมอมาก เราลอง plain cheese cake ก่อน ก็อร่อย เปรี้ยวนิดๆ แต่ทานแล้วหยุดไม่ได้ ต่อด้วย chocolate mousse cheese cake อันนี้ละเมอหนักเข้าไปอีก เนื้อมูสเบา หวานไม่มาก กลมกล่อม และตบท้ายรายการชิมด้วย devil's cheese cake เป็น chocolate hot fudge cake ปะทะกับตัวเจ้า plain cheese cake รสชาติหนักได้ใจมาก ร้านนี้ให้ห้าดาวเลยค่ะ

ที่ตั้งร้านก็หาง่ายนะ จริงๆมีหลายสาขาทั่วนิวยอรืก แต่ที่เราไปมาคือ สาขาที่อยู่ถนน Broadway ตัดกับ 8th Avenue นั่ง subway ไปลง 47th Street-Time Square แล้วเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ค่ะ รู้สึกว่าจะใกล้กับโรงแรม Marriot นะคะ และซอยเดียวกับโรงละคร Lion King

เอา link ไปดุกันเองดีกว่าค่ะ http://www.juniorscheesecake.com/juniors ร้านนี้มี 3 ส่วนนะ คือ ส่วนนั่งทาน bakery ส่วนร้านอาหารที่มีเมนูคาวหวานมากมาย และส่วนที่ซื้อขนมกะเครื่องดื่มแบบ to go

Magnolia Bakery in New York City




ในที่สุด ก็ได้ไปลิ้มมาจนได้ แต่กลับไม่ค่อยประทับใจเท่าที่ควร หรือเราอาจจะคาดหวังสูงไปหน่อยเอง รสชาติคัพเค้กก้ไม่ได้ว่าแย่อะไรนะคะ พูดว่า ธรรมด๊าธรรมดา จะเหมาะกว่า ธรรมดาาาาาาาาาา มากๆ รายการขนมก็มีให้เลือกไม่มาก แต่ของเค้าคงมีอะไรดีบางอย่างที่เราหาไม่เจอเอง เพราะทางร้านสามารถดึงดูดให้ลูกค้าทั้งคนนิวยอร์กและนักท่องเที่ยว มาต่อคิวรอซื้อขนมกันได้แทบทั้งวัน ทั้งที่ก็หนาวเหน็บซะขนาดนั้น ไม่ทราบว่า คนมาทานส่วนใหญ่จะเป็นขาประจำหรือนักลองอย่างเราหรือเปล่า พวกบรรดานักลองที่ได้ฟังมาบ้างได้ดูมาจาก serie อเมริกัน เรื่อง Sex and the City ที่ว่าร้านนี้คือร้านที่สี่สาวมานัดพบปะสังสรรค์กันอย่างสม่ำเสมอ แต่ร้านที่เป็น location ของหนังคือสาขาแรกที่ถนน Bleecker ค่ะ ส่วนร้านที่เราไปเป็นอีกสาขาที่ The Avenue of the Americans ใกล้ๆกับ 42st Street